มาตรฐานการคุมขังนั้นเป็นหนึ่งในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการกระทำอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรี ในขณะที่ปัจจุบันประเทศไทยกำลังผลักดัน ร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดการทรมานและการบังคับให้บุคคลสูญหาย พ.ศ…. โดยร่างพระราชบัญญัติที่ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร มาตรา 5 ได้กำหนดฐานความผิดกระทำการที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรมหรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ แต่ไม่รวมถึงการลงโทษที่ชอบด้วยกฎหมาย จึงน่าสนใจว่า การผ่านร่างพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวนั้น จะช่วยพัฒนามาตรฐานในการคุมขังของราชทัณฑ์ได้หรือไม่อย่างไร
ข้อมูลวันที่ 23 มิถุนายน 2565 จากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนระบุว่ามีผู้ต้องขังคดีทางการเมืองที่ถูกขังระหว่างการพิจารณาอยู่ถึง 21 ราย เสียงของพวกเขาที่สะท้อนเรื่องราวภายในเรือนจำอย่างต่อเนื่องกลับไม่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงแก้ไขสภาพคุมขังใดๆ อีกทั้งนักกิจกรรมอย่างน้อย 2 คนยังได้ประกันตัวโดยมีเงื่อนไขการติดกำไลอิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว(EM) ต้องอยู่ในเคหสถาน 24 ชั่วโมง แทบไม่แตกต่างจากการคุมขัง
เนื่องในวันต่อต้านการทรมานสากล (26 มิถุนายน) และวันครบรอบเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทย (24 มิถุนายน) ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ชวนนักกิจกรรมที่เคยถูกคุมขังในเรือนจำและต่อมาได้รับการประกันตัวโดยมีเงื่อนไขห้ามออกนอกเคหะสถาน 24 ชั่วโมง พร้อมทั้งผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนและด้านกฎหมายอาญา จึงมีการจัดงานเสวนาออนไลน์หัวข้อ “ขังในเรือนจำ และขังนอกเรือนจำต่างกันอย่างไร” วันที่ 28 มิถุนายน 2565 เวลา 19.00 -20.30 น. ทาง Facebook Live เพจ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
ผู้เข้าร่วมเสวนาประกอบด้วย ทานตะวัน ตัวตุลานนท์, โสภณ สุรฤทธิ์ธำรง 2 นักกิจกรรมที่ถูกศาลกำหนดเงื่อนไขห้ามออกจากบ้าน 24 ชั่วโมง และ อาจารย์รณกรณ์ บุญมี อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดำเนินการเสวนาโดย พูนสุข พูนสุขเจริญ ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
ประสบการณ์ในเรือนจำของตะวัน : การปรับตัวไม่ให้อารมณ์ดิ่งต้องใช้เวลา
ตะวันสะท้อนความรู้สึกก้าวแรกที่เข้าสู่เรือนจำว่า “คุกในภาพที่คิดไว้กับคุกข้างในที่ไปเจอค่อนข้างต่างกันพอสมควร ข้างในที่ไปเจอเปรียบเสมือนโรงเรียนประจำ” ที่เป็นเช่นนั้นเนื่องจากเต็มไปด้วยกฎระเบียบ มีเวลาให้ลงไปข้างล่างและขึ้นเรือนนอน โดยตนจะแบ่งประสบการณ์ออกเป็น 3 ช่วง
ช่วงแรก เป็นช่วงแดนแรกรับ เป็นขั้นตอนของการกักตัวคัดกรองโควิดซึ่งต้องเริ่มกักตัวอยู่ที่เรือนนอนเพชร เป็นระยะเวลา 10-14 วัน หลังจากนั้นจึงจะได้มาอยู่ที่เรือนนอนทับทิมซึ่งเป็นเรือนนอนกันชน ก่อนจะได้ลงแดนต่อไป ช่วงแรกที่เข้ามา ตนได้รับ ขัน 1 ใบ ผ้าเช็ดตัวสี่เหลี่ยมเล็กๆ 2 ผืน สบู่ 1 ก้อน ผงซักฟอก 1 ถุง และแคปซูลฟ้าทลายโจร ประมาณ 10 เม็ด ซึ่งไม่ได้บอกวิธีรับประทาน นอกจากนี้ยังมียาสีฟัน แปรงสีฟัน ยาสระผม สุ่ม และชุดนอน 2 ชุด เสื้อใน กางเกงใน 2 ตัว ผ้าอนามัย 1 แผ่น
ก่อนเข้าไปในเรือนจำจะต้องได้รับการสวอป ถ้าหากติดโควิด คนที่ติดโควิดก็จะต้องออกไปรักษา คนที่อยู่ในห้องเดียวกันนั้นก็จะต้องกักตัวและสวอปไปเรื่อยๆ จนกว่าจะไม่มีคนติดโควิดแล้วจึงจะได้ลงมาอยู่ในห้องกันชน
ตะวันเล่าต่อถึงเรื่องอาหารว่า ตลอดเวลาที่อยู่ในเรือนจำตนไม่ได้กินอาหารเลยจึงอธิบายถึงไม่ได้ เนื่องจากตัดสินใจอดอาหารตั้งแต่เข้าเรือนจำ โดยตนกินเพียงน้ำกับนม ตนจำได้ว่าอาหารมื้อแรกคือแกงเทโพ ซึ่งตนถามพี่คนข้างๆว่ารสชาติเป็นอย่างไร เขาตอบว่ากินไม่ได้เลย นอกจากนี้ตะวันยังพูดถึงน้ำในเรือนจำว่า ตนได้ลองชิมไปเล็กน้อยแต่โดยปกติน้ำในเรือนจำไม่สะอาดเพราะเป็นน้ำจากก๊อก ถ้าตนเลือกได้ก็จะกินน้ำที่มีคนซื้อเข้าไปมากกว่า
ทานตะวันยังสะท้อนเรื่องสภาพจิตใจในช่วงที่ต้องปรับตัวว่า “ข่าวที่ปรากฎว่ามีเพื่อนทำร้ายในตัวเองในเรือนจำ ต้องบอกให้ทุกคนเข้าใจว่ากว่าจะปรับตัวได้ในเรือนจำต้องใช้เวลา สภาพในเรือนจำช่วงแรกนั้นดิ่งพอสมควร ตนจึงเข้าใจคนที่อยู่ข้างในตอนนี้เป็นอย่างมาก ตนมีคำถามที่ถามอยู่ตลอดเวลาว่าเราผิดถึงต้องเข้ามาอยู่ในเรือนจำ ช่วงแรกตนไม่กล้านอนหลับเพราะทั้งดิ่งและหน่วงในตอนตื่น ตนต้องนั่งทุบหน้าอกตัวเองและใช้เวลาเยียวยาจิตใจพักใหญ่
วันหนึ่งตนนั่งร้องไห้หนักมากๆ จนเพื่อนผู้ต้องขังต้องปลอบ ตนถามออกไปว่าตนผิดอะไร ทั้งที่ทราบว่าคนที่จะตอบคำถามตนได้ไม่ได้อยู่ข้างใน” ตะวันรู้สึกว่าตนโชคดีที่ได้เพื่อนผู้ต้องขังที่ดีคอยดูแลช่วยเหลือ
ภายหลังกักตัวครบและไม่มีคนติดโควิด ตนได้ย้ายไปอยู่ในห้องทับทิมต่อ โดยต้องอยู่กับคนราว 40 คนในห้องเล็กๆ ตนรู้สึกตกใจและคิดอย่างเดียวว่า “ใครก็ได้ช่วยพาออกไปที” เพราะไม่รู้ว่าตัวเองจะสามารถอยู่ได้หรือไม่
ที่ห้องทับทิมจะต้องอาบน้ำที่เรียกกันว่า “ราวบัว” ซึ่งคล้ายๆกับราวตากผ้า ที่มีช่องเล็กๆราว 3 ช่อง ต่อ 1 ตำแหน่งที่ยืน โดยจะมีการนับ 1-15 ทุกคนต้องอาบน้ำให้ทัน
ตะวันเล่าว่าช่วงแรกๆก็ปรับตัวไม่ได้
ตนได้เจอทั้งคนท้องและคนป่วยจิตเวช ถ้าต้องรีบอาบน้ำคนท้องก็อาจจะลื่นล้มเป็นอันตรายได้ ส่วนคนป่วยจิตเวชมักทำอะไรเชื่องช้า เพื่อนๆผู้ต้องขังจึงต้องช่วยกันอาบน้ำ ถูสบู่ให้
หลังจากที่ได้ลงแดน วิธีอาบน้ำก็เปลี่ยนไป โดยจะมีทั้งการอาบน้ำแทงค์ ซึ่งอาบได้เพียง 10 ขันต่อคน หรือจะอาบราวบัวก็ได้ ขึ้นอยู่กับวันดังกล่าวจะมีน้ำพออาบหรือไม่ โดยตนได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนในห้องขังทำให้ปรับตัวอาบน้ำได้รวดเร็วขึ้น
ทนายพูนสุขได้ถามตะวันว่าทราบหรือไม่ทำไมต้องจำกัดการอาบน้ำ ตะวันตอบว่าราชทัณฑ์ให้คำตอบว่า ผู้ต้องขังมีจำนวนเยอะเกินไป จึงต้องกำหนดปริมาณและเวลาในการอาบน้ำ
.
การดูแลสุขภาพ-สุขอนามัยในเรือนจำจากประสบการณ์ของเก็ท โสภณ
เก็ท โสภณ เล่าย้อนถึงประสบการณ์เรือนจำชายว่า “ก่อนเข้าไปคิดว่ามันไม่น่าจะเท่าไหร่แต่พอเข้าไปก็ต้องแก้ผ้าตรวจร่างกาย” เก็ทบอกว่าเรือนจำมีการตรวจสุขภาพและตนถูกแยกออกมาเพื่อทำการสัมภาษณ์ช่วงกลางคืนแต่เมื่อได้พูดคุยกับคนที่น่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ซึ่งตนไม่ทราบชื่อ ตนก็รู้สึกเหมือนกำลังโดยปรับทัศนคติเสมือนตนเป็นนักโทษคนหนึ่ง เช่นถามว่า “อ่านหนังสือมามากแค่ไหน อายุเท่านี้คิดว่ารู้มากแค่ไหน มีการเล่าประวัติศาสตร์ของกษัตริย์ รู้มั้ยว่ากษัตริย์สำคัญกับประเทศไทยมากแค่ไหน” ตนรู้สึกว่าคำถามที่ถูกถามนั้นกดดันมากขึ้นเรื่อยๆ จนมาถามว่าตนคิดว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นเจ๋งมากเลยหรือ เก็ทบอกว่าตนต้องพูดกับเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวว่าใจเย็นๆก็ได้ ค่อยๆพูดกัน
ภายหลังตนถูกพาไปเข้าไปในแดนเจ้าหน้าที่ได้ถามว่าตนติดคุกคดีอะไร เมื่อตอบว่าคดีการเมือง ม.112 เจ้าหน้าที่พูดกับตนว่า “อ่อพวกชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน”
นอกจากนี้ตอนที่ตนเข้าไปมีรูปราชวงศ์อยู่เต็มไปหมด ช่วงนั้นตนจึงผวาว่าเราจะทำอะไรผิดไปมั้ย จะตายตั้งแต่คืนแรกหรือเปล่า เพลงสรรเสริญที่ดังขึ้นมาทุกเช้า-เย็น ทำให้ตนยืนตัวเกร็ง จากความกลัวไม่ใช่ความเคารพ
เก็ทบอกว่าช่วงแรกๆ ปรับตัวได้ยากเพราะไม่เคยอยู่ในเรือนจำมาก่อนวันที่4ที่อยู่ในเรือนจำ ก็ร้องไห้เพราะกดดัน จนตอนหลังปรับตัวได้มากขึ้น มีการพูดคุยกับเพื่อนนักโทษกับผู้คุมว่า ตนไม่ใช่พวกก้าวร้าวหรือพวกชังชาติ
เก็ทเล่าว่าเรือนจำชายแต่ละแดนมีรูปแบบการดูแลที่แตกต่างกัน แดน 2 เป็นแดนกักโรคที่จะต้องอยู่ในห้อง 24 ชั่วโมง 7-15 วัน ความเป็นอยู่นั้นต้องอยู่ในห้องแคบๆ 10-15 คน น้ำที่กินก็คือน้ำก๊อกที่มีกลิ่นคลอรีนลอยมา ตนได้ลองกินข้าวเพราะอยากทราบว่าเป็นอย่างไร ตนคิดว่าอาหารในเรือนจำ เป็นอาหารมื้อที่แย่ที่สุดในชีวิต โดยข้าวยังพอกินได้บ้าง แม้จะมีไหม้ แต่สิ่งที่กินไม่ได้คือกับข้าว เหมือนคนทำกับข้าวไม่เป็น
“มีวันนึงที่กินข้าวแล้วหมูไม่สุก หมูไม่สุกมันกินไม่ได้ ผมบอกผู้ช่วยผู้คุมว่าหมูไม่สุก เขาตอบกลับมาว่า “มันแรร์ไงน้อง”
ช่วงเวลาที่ต้องกินอาหาร คือ 8 โมง 10 โมง และ บ่ายโมง คือมื้อเช้า มื้อเที่ยงและมื้อเย็น แต่ละวันตนมองลูกกรงและคิดว่า ทำไมต้องมาอยู่ตรงนี้ ตนทำอะไรผิด และตัดสินใจอดอาหารหลังถูกคุมขังมา 4 วัน
สำหรับเรื่องการจ่ายยา เก็ทบอกว่า นักโทษได้รับการดูแลดีเป็นบางคน โดยเฉพาะนักโทษการเมือง ได้รับการตรวจความดันด้วย เก็ทขยายความว่าตนพอจะอธิบายได้ว่าทำไมเพื่อนที่ถูกขังอยู่จึงสามารถมียาพารามากมายไว้กิน เนื่องจากช่วงที่ตนอยู่ มีการแจกยาสำหรับ 1 ห้องขังเป็นแผงยาว ไม่ได้แจกให้รายคน ในห้องๆหนึ่งอาจจะมียาได้ถึงวันละ 20 เม็ด
“ผู้คุมพูดเองว่า ยาพาราในนั้นคือยาครอบจักรวาล… ไม่ว่าจะป่วยอะไร ก็จะได้พาราและหมอจะมาเพียงวันจันทร์ พุธ วันศุกร์”
ภายหลังย้ายจากแดน 2 มาแดน 4 เก็ทบอกว่า อาหารเหมือนจะดีขึ้นแม้ตนไม่ได้กิน แต่จากที่เป็นถุงแกงก็เปลี่ยนเป็นใส่จาน ส่วนเรื่องยานั้น ในแดนสองจะได้รับยาง่ายมาก ผิดกับแดน 4 ซึ่งได้รับยายากมาก หากไม่ป่วยจริงๆจะไม่สามารถรับยาได้ ตนเจอผู้ป่วยจิตเวชที่ไม่ได้ป่วยจากข้างนอกแต่ป่วยเพราะสภาพแวดล้อมข้างใน
เก็ทยังแชร์ประสบการณ์เกี่ยวกับสุขอนามัยและหมอในเรือนจำว่า เนื่องจากหมอมาแค่วันจันทร์ พุธ ศุกร์ ถ้าหากป่วยวันศุกร์ อาจจะต้องรอวันจันทร์จึงได้พบหมอ ตนเคยอยู่ร่วมกับผู้ป่วยโควิดซึ่งทราบได้จากการที่ลิ้นไม่รับรสอาหารแต่ผู้คุมให้ลงชื่อไว้และรอตรวจวันจันทร์ โดยไม่มีมาตรการให้ตรวจ ATK เบื้องต้นแต่อย่างใด เพียงบอกให้ใส่หน้ากากอนามัยหนาๆเอาไว้
อีกกรณีหนึ่งเก็ทพบว่ามีผู้ต้องขังเป็นไข้ ตัวร้อนมากหลังบ่ายสามโมงครึ่ง แต่ไม่สามารถไปหาหมอได้เพราะหมอไม่อยู่ส่วนผู้คุมได้ลงจากตึกไปแล้ว ตนพยายามตะโกนเรียกแต่ไม่มีเจ้าหน้าที่มา ตนจึงพยายามเช็ดตัวให้เพราะดูเหมือนผู้ต้องขังจะช๊อค
วันรุ่งขึ้นตนจึงไปคุยกับผู้คุมว่า “แบบนี้ไม่ได้นะ ถ้าป่วยหลังสามโมงครึ่งจะทำยังไง” ผู้คุมตอบกลับเขาว่า “หลัง 3โมงครึ่งไม่มีใครอยู่แล้ว ถ้าจะป่วยก็ต้องพยายามป่วยก่อนบ่าย 3โมงครึ่ง”
เก็ทงุนงงว่า การป่วยไข้มันสามารถควบคุมกันได้ด้วยหรือ นอกจากนั้นเขายังเจอว่าเทอโมมิเตอร์ยังวัดไข้ไม่ได้ถึง 37.4 องศา แม้ว่าตัวคนจะร้อนมากก็ตาม
เก็ทย้อนกลับมาขยายความเรื่องการยืนเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมีในเรือนจำ เขาเล่าว่า ไม่กล้าจะไม่ยืนเพราะคิดว่าอาจถูกทำร้าย เนื่องจากมีกล้องวงจรปิดดูอยู่ตลอด ช่วงหลังตนเริ่มสังเกตว่าเพื่อนนักโทษไม่ได้ยืนทุกคน จึงเริ่มไม่ยืนบ้างแต่วันหนึ่งเจ้าหน้าที่เข้ามาบอกว่า “ต่อไปทุกคนต้องยืนเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมีเช้าเย็น” โดยมีเพื่อนนักโทษถามว่าถ้าไม่ยืนจะเป็นอย่างไร เจ้าหน้าที่ตอบว่าจะถูกยึดโทรทัศน์ในห้องไป เก็ทยังเพิ่มเติมว่าในเรือนจำจะเน้นเรื่องการสวดมนต์ตอนเช้ากับการให้ยืนช่วงที่เปิดเพลงสรรเสริญ ไม่ได้เน้นเรื่องการเคารพธงชาติมาก
ภายหลังทั้ง 2 คน ได้เล่าประสบการณ์ในเรือนจำแล้ว ทนายพูนสุขได้สรุปสั้นๆว่า ดูเหมือนสภาพของเรือนจำและปัญหาด้านสุขอนามัยต่างๆไม่ได้ต่างไปจากสมัยก่อนมากนัก โดยสอบถามไปทางอาจารย์รณกรณ์ ผู้ร่วมเสวนาอีกท่านหนึ่งว่า อาจารย์เห็นว่าร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการซ้อมทรมาน จะมีส่วนช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้ที่ถูกคุมขังได้มากน้อยแค่ไหน
.
ความเห็นต่อโอกาสที่จะมีกฎหมายเพื่อแก้ปัญหาสิทธิมนุษชนในเรือนจำ
อ.รณกรณ์ให้ความเห็นว่ากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องมาตรฐานและคุณภาพชีวิตของผู้ต้องขังมีอยู่ด้วยกัน 3 ตัว คือ
1.ร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ซึ่งเป็นกฎหมายที่จะใช้เอาผิดกับเจ้าพนักงานรายบุคคล เป็นกฎหมายที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาใช้เวลาพิจารณาร่างนานมาก ปัจจุบันยังคงอยู่ในการพิจารณาของสมาชิกวุฒิสภา ถ้าหากผ่านก็จะเป็นร่างกฎหมายที่มีการแก้ไขจากต้นฉบับเยอะและจากการคาดการร่างกฎหมายฉบับนี้คงไม่สามารถผ่านได้ทันก่อนยุบสภา หมายความว่าต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ในรัฐบาลหน้า อ.รณกรณ์ยังกล่าวว่า
“กฎหมายฉบับนี้เข้าสภามา 3 ครั้งแล้วแต่ไม่เคยผ่านสภาเลย”
อ.รณกรณ์ชี้ว่า กฎหมายข้างต้นแทบไม่มีผลเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เก็ทและตะวันได้เจอแม้จะรับรองจากสภา แต่อาจจะส่วนเกี่ยวข้องอยู่บ้าง เช่น เรื่องเกี่ยวกับพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่ ที่เก็ทได้เล่าให้ทุกคนฟังว่า เจ้าหน้าที่โยนยาให้เหมือนสัตว์ โดยหากกฎหมายดังกล่าวสามารถผ่านสภาได้จะก่อให้เกิดฐานความผิดใหม่เกิดขึ้น 3 ฐาน 1. การเอาผิดเจ้าหน้าที่ ที่ทำการทรมาน ทำร้ายร่างกายอย่างรุนแรง ใช้ไฟฟ้าช็อตหรือซ้อมผู้ที่ถูกควบคุมตัวต่อเนื่องยาวนาน 2.การเอาผิดเจ้าหน้าที่ที่ทำการอุ้มหาย 3.การเอาผิดเจ้าหน้าที่ที่กระทำต่อมนุษย์อย่างไร้ศักดิ์ศรี
อ.รณกรณ์กล่าวว่า 2 ข้อแรกนั้นจะต้องออกมาอย่างแน่นอน แต่ข้อที่ 3 ยังไม่มีความแน่ชัดว่าจะผ่านสภาหรือไม่ ถ้าหากผ่านและผู้ถูกกระทำมีหลักฐานมายืนยัน ก็สามารถฟ้องเอาผิดเจ้าหน้าที่รัฐได้ หรือต่อให้กฎหมายยังไม่ออก โดยปกติก็สามารถฟ้องเจ้าหน้าที่ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ได้
“แต่อย่างไรก็ตามทั้งหมดเป็นเรื่องที่วางอยู่บนทฤษฎี เนื่องจากคนถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำจะสามารถนำหลักฐานมาจากที่ใด”
2. อนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมานและการกระทำอื่นๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรี (CAT) ซึ่งจะกำหนดหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐว่านอกจากจะห้ามทรมานแล้ว ยังต้องปฎิบัติต่อนักโทษและบุคคลทั่วไปอย่างไม่โหดร้ายหรือไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยี
เป็นกฎหมายที่เป็นความหวังสำหรับการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการปฎิบัติที่ไม่มีมนุษยธรรมของเจ้าหน้าที่ ซึ่งประเทศไทยได้ลงนามในอนุสัญญานี้มาตั้งแต่ปี 2550 เป็นเวลากว่า 15 ปีจนถึงปัจจุบันที่ตนพูดถึงอนุสัญญาตัวนี้ โดยประเทศไทยมีความเปลี่ยนแปลงอยู่บ้างแม้จะน้อยมากแต่ก็พยายามเปลี่ยน
ยกตัวอย่างว่าประมาณ 10 ปีที่แล้ว ผู้หญิงยังต้องถอดเสื้อผ้าทั้งหมดเพื่อตรวจทุกทวารหายาเสพติดแต่เมื่อเราลงนามในอนุสัญญาก็ทำให้เรือนใหญ่ๆ ต้องซื้อเครื่องสแกนร่างกายแทน จากรายงานคู่ขนาน (Shadow Reports) ของภาคประชาสังคมและองค์กรอิสระ ทำให้ปัจจุบันตะวันน่าจะไม่เจอการต้องถอดเสื้อผ้าทั้งหมดเพื่อตรวจร่างกายแล้ว รัฐบาลที่ผ่านมาทั้งหมดของเราอาจจะไม่สนใจประชาชนมากนักแต่สนใจข้อครหาของนานาชาติ เพราะการตรวจร่างกายผู้หญิงอย่างที่ผ่านมาในอดีตเป็นสิ่งที่รับไม่ได้
สำหรับเรื่องอาหารในเรือนจำ ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มาอย่างยาวนาน หากเรื่องอาหารเป็นไปตามที่เก็ทและทานตะวันบอกเล่า ตนก็ถูกหลอกเช่นกัน เพราะ
ตนมีหน้าที่ต้องไปตรวจดูเรือนจำหลายแห่ง เช่น เรือนจำคลองเปรม เรือนจำเชียงใหม่ และได้รับประทานข้าวในเรือนจำด้วย แต่ทุกครั้งที่ตนไปตรวจนั้น ตนรู้สึกว่าอาหารมีคุณภาพ ตนได้เข้าไปดูวัตถุดิบที่เก็บไว้ ข้าว หมู ไก่ เครื่องครัวสะอาดสะอ้าน แต่มีความเป็นไปได้ว่าเรือนจำที่ได้ไปดูนั้น เป็นเรือนจำที่ถูกเลือกมาแล้วว่าจะให้เข้าไปดู
หากดูงบประมาณที่ใช้ไปกับอาหารนักโทษในประเทศไทย จะพบว่ามีงบ 56 บาท/วัน/คน กระทรวงยุติธรรมมักจะนำเสนอว่ามีการลงทุนกับนักโทษ อาหารใช้วัตถุดิบอย่างดี ไม่มีข้าวแดงอีกแล้ว สิ่งที่ตนทำไม่ได้คือการขอไปตรวจสอบเรือนจำแบบไม่แจ้งล่วงหน้าแบบไม่มีใครมาควบคุม กรมราชทัณฑ์ไม่อนุญาตแม้ UN พยายามจะผลักดันการตรวจสอบแบบนี้
อีกประการหนึ่งคือเรื่องความแออัดของเรือนจำ เมื่อเรือนจำมีความหนาแน่น ปัญหาอื่นๆก็ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น เรื่องความสะอาด ทรัพยากรไม่เพียงพอ คุณภาพอาหาร ที่นอน รัฐบาลพยายามแก้กฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติด ให้ยาเสพติดบางประเภทไม่ผิดกฎหมายหรือมีความผิดน้อยลง เพื่อลดความแออัดของเรือนจำ เนื่องจากนักโทษกว่า 70-80% เป็นนักโทษยาเสพติด นอกจากนี้ UN ยังเคยระบุถึงการคุมขังกลุ่มโรฮิงยาหรือกลุ่มชาวม้ง ชาวลาว ซึ่งหลบหนีเข้ามาและถูกคุมขังอย่างแออัดจนเสียชีวิต ทำให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองต้องสร้างห้องขังให้ดีขึ้น
หากถามว่าจะทำอย่างไรให้การดูแลนักโทษพัฒนาไปมากขึ้น ตนไม่เชื่อว่าการผลักดันจากภายในจะทำอะไรได้มากนัก จะต้องมีแรงด่าจากต่างประเทศเข้ามาบีบเยอะๆ รัฐบาลไทยไม่ค่อยเห็นหัวหรือได้ยินเสียงประชาชน คนอยู่ในเรือนจำมักจะถูกมองว่าเป็นคนทำผิด ทำไมจะต้องเอางบประมาณมากมายไปใช้กับคนเหล่านั้น แต่เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องพื้นฐาน
“เราจำกัดเสรีภาพพวกเขาแต่ไม่ควรทำลายความเป็นมนุษย์ของพวกเขา” นี่คือมุมมองที่รัฐต้องเปลี่ยน
อ.รณกรณ์ย้อนกลับไปกล่าวถึงเรื่องที่เก็ทเล่าให้ฟังว่า หมอมาจันทร์ พุธ ศุกร์ โดยเล่าว่าเมื่อ 15 ปีที่แล้วตอนที่ตนทำงานเรื่องนี้ ไม่มีหมอเข้ามาในเรือนจำเลย การรักษาพยาบาลอยู่กับราชทัณฑ์ 100% ปัจจุบันด้วยการกดดันหลายๆทาง ทำให้การดูแลเรื่องสุขภาพของนักโทษถูกโอนไปให้กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงยุติธรรมไม่ได้ดูแลเอง เริ่มจากการส่งหมอเข้ามาอาทิตย์ละ 1 วัน จนกลายเป็น 3 วัน ถามว่าพอหรือไม่คงไม่พอ เป็นเรื่องที่ต้องผลักดันกันต่อไป ตนรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องที่พูดให้ดูดีแต่เป็นเรื่องที่ต้องพูดกันต่อเพราะสักวันหนึ่งอาจเป็นตนหรือลูกตนที่ต้องเข้าไปอยู่ข้างในเรือนจำ ทุกคนควรเรียกร้องความเท่าเทียมไม่ใช่เพื่อผู้อื่นแต่เพื่อตนเองด้วย
ประการสุดท้ายเรื่องทัศนคติของเจ้าหน้าที่ในเรือนจำ ตนเคยสอบถามเรือนจำก็พบว่ามีการลงโทษที่เจ้าหน้าที่กระทำผิดเช่นกัน แต่ถ้าสิ่งเหล่านี้ยังมีอยู่ หมายความว่าเรือนจำอาจยังทำงานเรื่องนี้ไม่เพียงพอ
3. พิธีสารเลือกรับต่ออนุสัญญาต่อต้านการทารุณกรรม (OPCAT) ซึ่งเป็นอนุสัญญาเสริมเพิ่มเติมของอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมานฯ ซึ่งกำหนดให้รัฐตั้งองค์กรขึ้นมาตรวจสอบการทำงานของเรือนจำโดยอิสระ ปัจจุบันองค์กรที่มีอำนาจตรวจสอบในประเทศไทยไม่ได้เป็นอิสระเนื่องจากหากจะเข้าไปตรวจสอบจะต้องมีเจ้าหน้าที่ตามไปด้วยโดยอ้างเรื่องความปลอดภัยซึ่งไม่ได้เป็นไปตามมาตรฐานของ UN
สำหรับเรื่อง OPCAT ตนแทบไม่เห็นทางที่ประเทศไทยจะไปลงนามเลย อนุสัญญาของ UN นั้นมี 9 ฉบับ ประเทศไทยลงไปแล้วถึง 7 ฉบับ แต่ก็ยังดำเนินการตามอนุสัญญาได้ไม่ดี นโยบายของกระทรวงต่างประเทศในปัจจุบันคือ ไทยจะไม่เข้าร่วมอนุสัญญาใดอีกเลย จนกว่าจะแก้ไขกฎหมายของประเทศไทยให้สอดคล้องกับอนุสัญญานั้นๆได้
ถ้าหากตามดูเรื่องอนุสัญญาต่อต้านการอุ้มหาย รัฐสภาโหวตให้เข้าร่วมหลายปีแล้ว แต่เนื่องด้วยกฎหมายยังแก้ไม่เสร็จ จึงยังไม่ได้เข้าร่วม สิ่งหนึ่งที่เป็นปัญหาคือ
“หากประเทศไทยเข้าร่วม OPCAT จะต้องให้ สเตรียรอยด์กับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน (กสม.) คือให้อำนาจในการตรวจสอบ จัดการรัฐ แต่ปัจจุบันสภาพของกสม.ดูจะไม่สามารถเป็นเช่นนั้นได้“
ตามร่างรัฐธรรมนูญปี 2560 อำนาจของกสม.ลดลงไปอย่างมาก แม้ปัจจุบันกสม.มีอำนาจเทียบเท่ารัฐมนตรี แต่เขี้ยวเล็บในการจัดการปัญหาแทบไม่มี
.
ชีวิตหลังประกันตัวของเก็ทและทานตะวัน: ประกันตัวที่เหมือนไม่ได้ประกัน
ตะวันซึ่งเดิมศาลอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราวเป็นเวลา 30 วัน เพิ่งได้รับการต่ออายุการประกันตัวออกไปเป็น 45 วันแต่ศาลยังคงเงื่อนไขควบคุมตัวในบ้าน 24 ชั่วโมง กล่าวว่า เงื่อนไขดังกล่าวเปรียบเสมือนการเปลี่ยนที่คุมขัง เนื่องจากสามารถเดินทางไปได้แค่ที่ศาลและโรงพยาบาล แต่ขณะนี้ตนกำลังมีแผนจะสมัครเรียนปริญญาตรี คณะนิติศาสตร์ รามคำแหง ทำให้จะต้องมีการทำหนังสือขออนุญาตศาลเพื่อดำเนินการเรื่องการศึกษาต่อ
นอกจากเรื่องการเรียนแล้ว ขณะยังถูกคุมขังอยู่ ตะวันยังมีความคิดจะแบ่งเวลาไปใช้ชีวิตกับครอบครัวและเพื่อน แต่เมื่อทราบว่าตนจะต้องอยู่ในบ้านตลอด 24 ชั่วโมงก็รู้สึกตกใจเพราะจะทำให้ไม่สามารถใช้ชีวิตตามแผนที่วางไว้ได้ แม้ว่าเพื่อนร่วมห้องขังจะแสดงความยินดีกับตนและบอกว่า “ดีกว่าถูกขังอยู่ในเรือนจำ” ก็ตาม ตะวันเห็นพ้องว่าการอยู่ที่บ้านดีกว่าก็จริง เพราะยังสามารถพบพ่อแม่และเพื่อนได้แต่ท้ายที่สุดตนยังรู้สึกเหมือนถูกคุมขัง ไม่ให้ออกไปทำกิจกรรมหรือออกไปม็อบ รวมถึงไม่สามารถพูดเรื่องที่อยากพูดได้ ตนคิดว่า
“อิสรภาพที่จะมีความสุขในชีวิตด้านอื่นๆนั้น ถูกพรากไป“
ทนายพูนสุขยังถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคิดเริ่มต้นในการเรียนนิติศาสตร์ โดยตะวันขยายความว่า เดิมทีมีคนแนะนำให้เรียน เพื่อจะได้สอบเป็นทนายหรือผู้พิพากษาได้ แต่ตนเพียงอยากเรียนรู้เพื่อจะได้มีความรู้เรื่องกฎหมายและนำไปใช้ทำกิจกรรมในอนาคต ยิ่งตนติดคุกและเจอกับกระบวนการยุติธรรมเช่นนี้ ก็ยิ่งอยากตั้งใจเรียน เพื่อวันหนึ่งจะสามารถเข้าไปแก้ไขระบบยุติธรรมไทยให้น่าเคารพมากขึ้นได้
ขณะเดียวกันปัจจุบัน เก็ท โสภณ เป็นอีกคนหนึ่งซึ่งกำลังเรียนปริญญาตรีอีกใบ ในคณะนิติศาสตร์เช่นกัน ตัวเขาได้รับการยกเว้นไม่ต้องติดกำไลข้อเท้า EM เนื่องจาก ตนจะต้องทำงานที่เกี่ยวข้องกับเครื่อง MRI ด้วยซึ่งกำไลอาจทำให้ตนถูกแม่เหล็กดูดหรือรบกวนการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆที่ตนต้องประกอบวิชาชีพได้
เก็ทเล่าว่า แม้เขาไม่ได้รับการติด EM ที่ข้อเท้าแต่ต้องแลกกับการมีตำรวจนอกเครื่องแบบมาเฝ้าแทบจะ 24 ชั่วโมง ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่แปลก
ทุกวันนี้ตนไม่ได้ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยแต่ต้องอาศัยเรียนออนไลน์ นอกจากนี้ทุกๆกิจกรรมที่จะทำในชีวิต จำเป็นต้องขออนุญาตศาล เช่น การไปอุดฟัน ครั้งหนึ่งตนต้องขออนุญาตศาลเพื่อไปอุดฟันแต่นายทะเบียนได้ถามกับตนว่า “แค่ฟันผุต้องไปอุดฟันเลยหรือ มันจำเป็นขนาดนั้นหรือเปล่า” ตนรู้สึกว่าเงื่อนไขที่ต้องอยู่ในบ้าน 24 ชั่วโมง ทำให้ชีวิตยุ่งยากพอสมควร
ทนายพูนสุขสรุปสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาว่า ศาลมีแนวโน้มที่จะออกเงื่อนไขที่กดเพดานทางเสรีภาพของนักกิจกรรมลง ก่อนโยนคำถามถึง อ.รณกรณ์ว่ามีข้อสังเกตทางกฎหมายอย่างไรกับการออกเงื่อนไข ควบคุมตัว 24 ชั่วโมงในเคหสถาน
.
การกำหนดเงื่อนไขในการปล่อยตัวชั่วคราวไม่ใช่มาตรการที่เอาไว้เตือนหรือปรามนักกิจกรรมหรือผู้กระทำความผิด
House arrest (การควบคุมตัวในเคหสถาน) ดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 108 วรรคสาม โดยหลักปกติระหว่างการพิจารณาควรต้องปล่อยตัวและหากไม่ปล่อยตัวก็ต้องมีเหตุตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 108 วรรคหนึ่ง อย่างไรก็ตามหากศาลเห็นว่า ผู้ถูกปล่อยตัวชั่วคราวจะไปก่อภัยอันตรายก็สามารถกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ เพื่อให้ยังมีเสรีภาพแต่จะต้องถูกควบคุมบางอย่าง
“สาระสำคัญจริงๆของเรื่องนี้คือป้องกันการหลบหนีเป็นหลัก”
เช่น การกำหนดให้ติดกำไลข้อเท้า EM อันที่จริงการบอกว่าเกรงจะไปกระทำความผิดอื่นอาจจะไม่สมเหตุสมผลนักเพราะอยู่บ้านก็อาจจะทำโพลล์ได้เช่นกัน สำหรับการให้ประกันตัวในทางกฎหมาย บางคนอาจจะบอกว่าเนื่องจากต้องสันนิฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ แล้วแต่ว่าคนคนนั้นเป็นนักกฎหมายสายยุโรปหรืออเมริกา
“สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้น การให้ประกันตัวคือการให้ออกมาต่อสู้คดีได้อย่างเต็มที่ การขังในบ้าน 24 ชั่วโมง ไม่ตอบโจทก์ตรงส่วนนี้”
การขังในบ้านอาจทำให้ไม่สามารถเตรียมตัวเพื่อต่อสู้คดีได้อย่างเต็มที่และเป็นธรรม ผู้ต้องหาจะสามารถไปหาหลักฐานเพื่อการต่อสู้คดีได้อย่างไรหรือต้องรอเฉพาะตอนที่ทนายความว่างแล้วเดินทางมาคุยกับเขาหรือ สิ่งพื้นฐานที่สุดอย่างการไปพบหมอ หรือเพื่อการศึกษานั้น ต้องอนุญาตอยู่แล้ว แต่อีกเงื่อนไขที่ต้องให้ความสำคัญคือการให้โอกาสสู้คดีอย่างเต็มที่ สิ่งที่ควรจะเป็นในหลายๆประเทศของ House Arrest คืออนุญาตให้ออกจากบ้านแต่ต้องกลับมาในเวลาที่กำหนด เพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะไม่หลบหนี
เพื่อความยุติธรรมต้องบอกว่า การขังในบ้านกับขังในเรือนจำมีความต่างกันพอสมควร การให้ปล่อยตัวชั่วคราวอย่างน้อยยังสามารถไปเลือกตั้งได้ เลือกอาหารที่ตนเองอยากรับประทานได้ และกำหนดเวลาในชีวิตตนเองได้ เช่น ไม่ต้องขึ้นเรือนนอนตอนบ่ายสามโมงครึ่ง หรืออยากอาบน้ำมากกว่า 15 นาทีก็ทำได้ เพียงแต่ว่าสิ่งที่เราจะต้องเรียกร้องคือ กฎหมายไม่ใช่แค่ตัวอักษร มาตรา 108 วรรคสาม ไม่ได้ให้กำหนดเงื่อนไขจนไม่สามารถออกมาต่อสู้คดีได้ การกำหนดให้ไม่สามารถออกนอกบ้านได้จนไปจำกัดสิทธิการต่อสู้คดีคือสิ่งที่เป็นปัญหา การทำหน้าที่ของศาลต้องแสดงให้เห็นว่าเป็นธรรม มิใช่เป็นธรรมเพียงแค่ลายลักษณ์อักษร
“เราคงไม่อยากจะอยู่ในสังคมที่คนไม่เชื่อใจศาลแต่ศาลก็ต้องทำให้ประชาชนเชื่อใจ”
ถ้าหากมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่ามีการล็อคเป้าหมายเฉพาะกลุ่มเพื่อกำหนดเงื่อนไขและใช้เยอะมากขึ้นอาจจะกลายเป็นการข่มขู่ ส่งสัญญาณ ห้ามปราม มาตรา 108 วรรคสาม ไม่ใช่มาตรการที่เอาไว้เตือนหรือปรามนักกิจกรรมหรือผู้กระทำความผิดแต่เป็นมาตรการที่เอาไว้ป้องกันภัยอันตรายหรือป้องกันการหลบหนีเป็นหลัก พึงคำนึงเสมอว่าผู้ต้องหาต้องมีสิทธิต่อสู้คดีอย่างเป็นธรรม เนื่องจากศาลประเทศไทยไม่ใช่ระบบไต่สวน ที่ศาลจะรู้เองได้ทุกอย่าง
ทนายพูนสุขเสริมว่า เท่าที่ทราบมาตราการห้ามออกนอกเคหสถาน 24 ชั่วโมงนั้น ถูกนำมาใช้กับผู้ต้องขังทางการเมืองเป็นกรณีแรกๆ หรือแม้กระทั่งการสั่งติด EM เอง ในช่วงแรกศาลเพียงใช้กับคดียาเสพติดแต่ในช่วงปี 2560-2561 ถูกนำมาใช้ในคดีสหพันธรัฐไท ซึ่งศาลอาจมองว่าเกี่ยวกับคดีความมั่นคงแต่กับนักกิจกรรมทางการเมืองเพิ่งจะถูกนำมาใช้ในช่วงปีกว่าๆที่ผ่านมาและมีการกำหนดเงื่อนไขที่จำกัดสิทธิมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นการจำกัดเวลาและการห้ามไปชุมนุม หรือ การกำหนดให้นักกิจกรรมบางคนถูกคุมขัง 24 ชั่วโมง จึงกลายเป็นข้อกังวลว่ามันไม่ใช่มาตราการที่ควรทำมาใช้จนกลายเป็นกรณีทั่วไปหรือเปล่า
.
ฝากกำลังใจถึงเพื่อนอีก 21 คนที่ยังคงถูกคุมขัง
ตะวันกล่าวว่า อยากให้คนข้างนอกช่วยกันส่งเสียงกดดันเพื่อคนข้างในมากขึ้น เนื่องจากตอนที่ตนเองถูกคุมขังอยู่สิ่งที่ต้องการมากที่สุดก็คือเสียงเรียกร้องจากคนข้างนอก ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่กำลังอดอาหารอยู่ 3 คน ได้แก่ บุ้ง ใบปอ และ ธีรวิชญ์ รวมถึงกรณีของเมธิน ทหารที่โดนดำเนินคดีม.112 และ ป้าอัญชัญที่ถูกศาลตัดสินไปแล้วด้วย โดยเฉพาะกำลังใจถึงผู้ที่ทำร้ายตนเองในเรือนจำ ซึ่งทุกคนสามารถส่งจดหมายหรือฝากกำลังใจผ่านทนายความเข้าไปได้ ซึ่งปัจจุบันเพจทะลุแก๊สกำลังเปิดให้ส่งจดหมายอยู่เช่นกัน ตอนที่ตนถูกขังอยู่ สัมผัสได้เพียงความเงียบ จะสามารถรับรู้เรื่องราวต่างๆได้ก็เพียงผ่านทางทนายความเท่านั้น หากวันนี้เราร่วมกันส่งเสียง วันหน้าอาจจะไม่ต้องมีคนเข้าไปอีก
ทางด้านเก็ท ได้ฝากบอกคนที่ถูกขังว่า สิ่งที่ทุกคนกำลังทำอยู่ไม่ใช่สิ่งผิดแต่เป็นระบบที่บิดเบี้ยว พวกเราเพียงกระทุ้งให้ระบบเข้ารูปเข้ารอย สร้างสังคมที่คนเท่ากัน กำลังใจจากคนข้างนอกสำคัญมาก ตนซึ่งเคยได้จดหมายจากคนข้างนอก
“อยากบอกว่าเพียงแค่ประโยคสองประโยคที่มีคนฝากเข้ามา ก็สามารถทำให้ยิ้มได้ทั้งวันหรือเป็นสัปดาห์”
กิจกรรมยืนหยุดขังที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้ก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้คนข้างในมีกำลังใจ เป็นแรงผลักดันในการมีชีวิตอยู่ข้างใน
สำหรับกระบวนการยุติธรรม ตนอยากฝากว่า ตนเจ็บมากตอนที่ได้ฟังผู้พิพากษาพูดตอนที่ตนไม่ได้ประกันตัวว่า
“ก็เข้าใจนะว่าโลกมีสิทธิมนุษยชน แต่คุณก็ต้องเข้าใจนะว่านี่ประเทศไทย ต้องเข้าใจว่ากฎหมายประเทศนี้มันเป็นอย่างไร”
ตนได้แต่ตั้งคำถามว่าแล้วถ้ากฎหมายประเทศไทยไม่สอดคล้องกับกฎหมายสิทธิมนุษชนแล้วจะไปลงชื่อในปฎิญาสากลว่าด้วยเรื่องสิทธิมนุษยชนทำไม ตนคาดหวังว่าสังคมจะเปลี่ยนโดยเร็วแม้ว่าเราจะต้องสู้กันอีกมาก ช่วยกันจับตาดูกระบวนการยุติธรรมและผู้ที่ถูกคุมขังอยู่ เมื่อข้อเรียกร้องประสบความสำเร็จ ทุกคนในสังคมย่อมได้ประโยชน์ร่วมกัน
.
กระบวนการยุติธรรมยังคงมีความหวัง
อ.รณกรณ์ทิ้งท้ายว่า แทบไม่มีประเทศใดที่ลงนามในอนุสัญญาต่างๆแล้วปฎิบัติตามได้โดยไม่มีข้อบกพร่องแต่ประเทศไทยบกพร่องในเรื่องที่ค่อนข้างจะพื้นฐานมากๆจึงเป็นช่องโหว่ใหญ่ที่เห็นได้ชัด แต่เรายังคงต้องมีความหวังต่อกระบวนการยุติธรรม เชื่อว่ามีคนในกระบวนการยุติธรรมที่พยายามต่อสู้เปลี่ยนแปลงจากภายใน แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องระวัง นอกจากจะต้องคอยลุ้นว่าศาลจะตัดสินคดีให้อยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายแล้ว
ตนอ่านสำนวนคดีอานนท์ นำภา หรือ ปิยบุตร แสงกนกกุลแล้วพบว่า ทั้งสองคนไม่พลาดเลย ทราบว่ากฎหมายไม่เป็นธรรมแต่ก็ทราบว่าพูดแบบไหนจึงจะไม่ผิด ตนได้ทำความเห็นในสำนวนคดีเป็นร้อยสำนวน ตนกล้าพูดได้ว่าคดีของตะวันไม่ผิดกฎหมาย สู้ได้อย่างเต็มที่ แต่บางครั้งในบางคดีเราก็ต้องระวังตัวเองเพราะรู้ว่าฝั่งนั้นมีมีดอยู่ เราต้องพยามเดินไม่ให้โดนมีดนั้น บางครั้งสิ่งที่เขาทิ่มแทงเรามันเกินกรอบ นักกฎหมายสามารถช่วยตรงนั้นได้ เชื่อว่าคนรุ่นใหม่พยายามที่จะดูกรอบเหล่านั้นแล้วแต่ในบางคดีที่เกินกรอบไปก็ต้องระวัง เนื่องจากตนไม่อยากเห็นใครติดคุกอีก
ตนเห็นว่าการต่อสู้ไม่ใช่การวิ่งสปริ้นท์แต่เป็นมาราธอน แต่บางคนอาจบอกว่าเพราะพวกมึงคิดกันแบบนี้ 40 แล้วจึงแก้ปัญหาได้เท่านี้