รอการกำหนดโทษ 2 ปี 3 นศ.ชักธง “ปฏิรูปกษัตริย์” ผิด พ.ร.บ.ธงฯ จำเลยยังไม่เห็นพ้องคำพิพากษา ชี้ไม่ควรมีใครมีความผิดจากการแสดงออกทางการเมือง

25 มี.ค. 2565 ศาลแขวงขอนแก่นอ่านคำพิพากษาในคดีชักธง “ปฏิรูปกษัตริย์” หน้าตึกอธิการบดี (หลังเก่า) มหาวิทยาลัยขอนแก่น เมื่อวันที่ 12 ก.พ. 2564 ระบุผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและระเบียบเกี่ยวกับธงชาติ ให้ความเห็นว่า การกระทําของจําเลยทั้งสามถือเป็นการไม่สมควร ไม่เคารพ หรือทําให้เสื่อมเสียเกียรติภูมิประเทศไทย โดยจำเลยไม่มีพยานมานําสืบหักล้างให้เห็นเป็นอย่างอื่น จึงพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตาม พ.ร.บ.ธงฯ มาตรา 45 และ 53(3) แต่ให้รอการกําหนดโทษไว้ 2 ปี เนื่องจากจําเลยยังเป็นนักศึกษา ทั้งไม่เคยต้องโทษจําคุกมาก่อน และยกฟ้องข้อหาร่วมกันกระทำการใดๆ อันมีลักษณะเหยียดหยามต่อธง ตาม พ.ร.บ.ธงฯ มาตรา 54

เวลา 09.15 น. ระหว่างจำเลยทั้งสาม ได้แก่ “เซฟ” วชิรวิทย์ เทศศรีเมือง, “กราฟฟิก” ชัยธวัช รามมะเริง 2 นักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น และ “เชน” เชษฐา กลิ่นดี นิสิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม, ทนายจำเลย รวมถึงผู้สังเกตการณ์ ทยอยเดินทางมาศาล พบว่า มีชายหัวเกรียน แต่งกายด้วยเสื้อยืด กางเกงยีน รองเท้าผ้าใบ คล้ายเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบ 2 นาย นั่งรออยู่ที่ศาลาด้านหน้าศาล และชาย 1 ใน 2 ราย คอยยกโทรศัพท์มือถือขึ้นถ่ายรูปผู้ที่เดินทางมาในคดีนี้ 

หลังสังเกตดูซักพัก และเห็นชัดเจนขณะชายคนดังกล่าวถ่ายรูป พัฒนะ ศรีใหญ่ ทนายจำเลย ซึ่งจอดรถและกำลังเตรียมตัวเข้าศาล ผู้สังเกตการณ์จึงเดินเข้าไปถามว่า ถ่ายรูปทนายทำไม และบอกให้ลบรูปดังกล่าว แต่ชายดังกล่าวไม่ตอบ กลับกระโดดลงด้านข้างศาลาเดินหนีออกจากศาลไป 

ทนายพัฒนะจึงได้เข้าแจ้งเรื่องต่อผู้อำนวยการสำนักงานประจำศาลแขวงขอนแก่น เนื่องจากเห็นว่าเป็นการละเมิดสิทธิของผู้ที่เกี่ยวข้องในคดีการเมืองในเขตศาล ซึ่งคดีความได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว โดยผู้อำนวยการศาลได้มอบหมายให้ตำรวจศาลดูแลสอดส่องไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก 

ราว 10.00 น. ธนิต บุญอนันต์ ผู้พิพากษาเจ้าของคดีออกนั่งอ่านคำพิพากษา มีเนื้อหาโดยย่อดังนี้

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จําเลยทั้งสามกระทําความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มี ร.ต.อ.ชัชวาลย์ จารย์มาตร และ ร.ต.อ.ประยุทธ์ เมณกูล เจ้าพนักงานตํารวจ สภ.เมืองขอนแก่น เป็นพยานเบิกความในทํานองเดียวกันว่า เมื่อวันที่ 12 ก.พ. 2564 กลุ่ม ขอนแก่นพอกันที จัดกิจกรรมอยู่ที่บริเวณบึงสีฐาน มหาวิทยาลัยขอนแก่น และบริเวณหน้าตึกอธิการบดี โดยมีการถ่ายทอดสดผ่านทางเฟซบุ๊ก พยานตรวจสอบพบว่า จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันแกะธงชาติ และนําธงปฏิรูปกษัตริย์ที่เตรียมมาผูกติดแล้วชักธงขึ้นสู่ยอดเสา ธงชาติจึงลงอยู่ด้านล่างไม่ได้แกะออก

เห็นว่า พยานโจทก์ทั้งสองดังกล่าวเบิกความสอดคล้องต้องกัน ไม่มีเหตุระแวงสงสัยว่าพยานเบิกความปรักปรําจําเลย แม้พยานโจทก์ทั้งสองไม่อยู่ในที่เกิดเหตุ แต่ก็ได้ตรวจสอบข้อมูลการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มจําเลยทั้งสามกับพวกผ่านทางเฟซบุ๊กที่บันทึกเหตุการณ์ไว้ เชื่อว่าพยานโจทก์ทั้งสองเบิกความไปตามความจริง ประกอบกับจําเลยทั้งสามก็เบิกความยอมรับในลักษณะเดียวกัน 

ส่วนการกระทําของจําเลยทั้งสามดังกล่าวถือว่าเป็นการชักธงชาติลงมาโดยวิธีอันไม่สมควร และเป็นการไม่เคารพ ดูถูกเหยียดหยาม ทําให้เกิดความเสื่อมเสียซึ่งเกียรติภูมิของประเทศไทย ตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการใช้ การชัก หรือการแสดงธงชาติและธงของต่างประเทศในราชอาณาจักร พ.ศ.2529 และเป็นการเหยียดหยามต่อธงชาติหรือไม่นั้น โจทก์มีนายวิทวัส ยี่สารพัฒน์ นักวิชาการวัฒนธรรมปฏิบัติการ สํานักงานวัฒนธรรมจังหวัดขอนแก่น เป็นพยานเบิกความต่อศาลและให้การต่อพนักงานสอบสวนไว้ และมีบันทึกคําให้การนายวิสุทธิ์ ฉัตรานุฉัตร นิติกรเชี่ยวชาญ สํานักงานกฎหมายและระเบียบกลาง สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี 

พยานทั้งสองเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและระเบียบเกี่ยวกับธงชาติ ให้ความเห็นโดยมีหนังสือ 100 ปี ธงชาติไทย ร้อยดวงใจไทยทั้งชาติ ของคณะกรรมการจัดกิจกรรมฉลองครบรอบ 100 ปี การประกาศใช้ธงไตรรงค์เป็นธงชาติไทย สํานักนายกรัฐมนตรี และหนังสือคู่มือธงไตรรงค์ ธํารงไทย แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับธงชาติไทย การใช้ การชัก การประดับ การแสดง และการเคารพ ของสํานักงานเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี ประกอบความเห็นว่า การกระทําของจําเลยทั้งสามที่นําธงผ้าสีแดงมีขนาดเท่าๆ กับธงชาติไทยและเขียนข้อความ “ปฏิรูปกษัตริย์” นําไปชักขึ้นสู่ยอดเสาแทนธงชาติ และอยู่เหนือธงชาติ ทําให้ธงชาติลงมายังโคนเสา ชายธงชาติติดพื้น ถือว่าเป็นการปฏิบัติต่อธงชาติที่ไม่สมควร ไม่เคารพ หรือเป็นการทําให้เกิดความเสื่อมเสียซึ่งเกียรติภูมิของประเทศไทย ส่วนจะมีลักษณะเป็นการเหยียดหยามต่อธงชาติหรือไม่นั้น พยานทั้งสองไม่ยืนยัน 

เมื่อศาลพิจารณาตามหนังสือดังกล่าวอธิบายถึงการกระทําอันเป็นการเหยียดหยามต่อธงชาติ ได้แก่ การกระทําต่อธงชาติ รูปจําลองของธงชาติ หรือแถบสี ธงชาติ ด้วยเจตนาเหยียดหยามประเทศชาติ เช่น ฉีก ทําลาย ถ่มน้ำลาย ใช้เท้าเหยียบ วางเป็นผ้าเช็ดเท้า ซึ่งเป็นการแสดงความดูถูกดูหมิ่น เหยียดหยามชาติไทยหรือคนไทย การกระทําของจําเลยทั้งสามจึงยังไม่ถือว่าเป็นการเหยียดหยามต่อธงชาติ 

ซึ่งข้อเท็จจริงที่ได้ความจากพยานผู้เชี่ยวชาญโจทก์ดังกล่าว จําเลยทั้งสามคงมีเพียงจําเลยทั้งสามมาเบิกความลอยๆ ไม่มีพยานอื่นมานําสืบหักล้างให้เห็นเป็นอย่างอื่น พยานหลักฐานที่โจทก์นําสืบมาจึงฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุตามฟ้อง จําเลยทั้งสามกับพวกร่วมกันชักเอาธงชาติที่ผูกติดอยู่บนยอดเสาธงบริเวณหน้าตึกอธิการบดี ภายในมหาวิทยาลัยขอนแก่น ลงมาในลักษณะชายธงติดกับพื้นข้างล่าง แล้วนําธงผ้าสีแดงเขียนข้อความสีขาวว่า “ปฏิรูปกษัตริย์” ไปผูก แล้วจึงชักธงผ้าสีแดงดังกล่าวนั้นขึ้นไปบนยอดเสาธงแทนธงชาติ ธงชาติจึงลงมาข้างล่างอยู่ต่ำกว่าธงผ้าสีแดงดังกล่าว อันเป็นการชักธงชาติลงมาโดยวิธีอันไม่สมควร และเป็นการไม่เคารพ ทําให้เกิดความเสื่อมเสียซึ่งเกียรติภูมิของประเทศไทย

ดังนั้น จําเลยทั้งสามจึงมีความผิดฐานร่วมกันชักธงที่มีความหมายถึงประเทศไทย โดยไม่เคารพ และโดยทําให้เกิดความเสื่อมเสียซึ่งเกียรติภูมิของประเทศไทย และร่วมกันชักธงชาติไทยไว้ ณ ที่หรือโดยวิธีการอันไม่สมควร 

พิพากษาว่า จําเลยทั้งสามมีความผิดตาม พ.ร.บ.ธงฯ มาตรา 45, 48, 53(3) การกระทําของจําเลยทั้งสามเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษฐาน ร่วมกันชักธงที่มีความหมายถึงประเทศไทยโดยไม่เคารพ และโดยทําให้เกิดความเสื่อมเสียซึ่งเกียรติภูมิของประเทศไทยหรือชาติไทย ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่โทษหนักที่สุด 

พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งความผิดของจําเลยทั้งสาม ประกอบกับจําเลยทั้งสามยังเป็นนักศึกษาระดับชั้นปริญญาตรีกําลังศึกษาเล่าเรียน อีกทั้งไม่ปรากฏว่าจําเลยทั้งสามเคยต้องโทษจําคุกมาก่อน เห็นควรให้โอกาสจําเลยทั้งสามกลับตนเป็นพลเมืองดี จึงให้รอการกําหนดโทษไว้มีกําหนด 2 ปี 

ส่วนคําขอของโจทก์ที่ให้นับโทษจําคุกจําเลยที่ 1 (วชิรวิทย์) ต่อจากโทษจําคุกในคดีอาญาหมายเลขดําที่ 1676/2563 ของศาลนี้ (คดี พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จากการชุมนุมอีสานบ่ย่านเด้อ) นั้น เนื่องจากคดีนี้ศาลมีคําพิพากษารอการกําหนดโทษจําเลยที่ 1 และคดีดังกล่าวศาลยังไม่มีคําพิพากษา จึงไม่อาจนับโทษต่อได้ ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก

.

เซฟให้ความเห็นสั้นๆ ภายหลังทราบคำพิพากษาว่า “ผมยังไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาของศาล และคิดว่าการแสดงออกทางการเมืองไม่ว่าจะเป็นการแสดงออกทางความคิด การพูด หรือการแสดงออกทางสัญลักษณ์ ไม่ควรมีใครต้องถูกพิพากษาว่ามีความผิด และถูกลงโทษ แม้กระทั่งโทษปรับก็ไม่ควรต้องถูกปรับ เบื้องต้นผมเห็นว่าจะอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้น เพราะมีประเด็นที่ผมเห็นแย้งและคิดว่ามีข้อต่อสู้เพื่อคัดค้านคำวินิฉัยของศาลได้”

.

มีข้อสังเกตว่า ในนัดสืบพยานโจทก์ซึ่งอัยการไม่สามารถติดตามพยานความเห็นปากนายวิสุทธิ์ ฉัตรานุฉัตร นิติกรประจำสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี มาเบิกความได้ ศาลได้สั่งให้ตัดพยานปากดังกล่าว แต่กลับนำคำให้การชั้นสอบสวนของนายวิสุทธิ์ มาประกอบการวินิจฉัยและพิพากษาจำเลย โดยที่ทนายจำเลยไม่ได้มีโอกาสซักค้านพยานปากนี้เลย ซึ่งทนายจำเลยจะได้อุทธรณ์ในประเด็นนี้ต่อศาลอุทธรณ์ต่อไป  

.

การสืบพยานในคดีนี้ เมื่อวันที่ 31 ม.ค. – 1 ก.พ. 2565 นั้น  แม้พยานโจทก์หลายปากชี้ว่า การผูกธงอื่นอยู่เหนือธงชาติ รวมถึงการปล่อยให้ชายธงชาติตกถึงพื้นดิน เป็นการกระทำที่แสดงถึงความไม่เคารพ แต่ในการซักค้านของทนายจำเลย พยานโจทก์ทั้งหมดได้รับว่า ทราบเหตุการณ์จากการดูไลฟ์สด ซึ่งเวลาเกิดเหตุใกล้มืดแล้ว บางปากจึงไม่ยืนยันว่า ชายธงชาติตกถึงพื้นดินหรือไม่ ด้านวิทวัส ยี่สารพัฒน์ นักวิชาการจากสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดขอนแก่น รับว่าได้วินิจฉัยให้ความเห็นเกี่ยวกับธงชาติครั้งนี้เป็นครั้งแรก โดยหน้าที่รับผิดชอบของพยานเป็นการดูแลเรื่องวัฒนธรรม ซึ่งไม่ใช่เรื่องของกฎหมาย ทั้งยังเห็นพ้องกับทนายจำเลยว่า ปัจจุบันธงชาติถูกนําไปใช้แพร่หลายในกิจกรรมอื่นๆ เช่น เป็นอุปกรณ์ในการเชียร์กีฬา คลุมตัวนักกีฬาที่แข่งขันชนะ ซึ่งไม่ถือเป็นการไม่เคารพธงชาติ

ขณะที่จำเลยทั้งสามเบิกความว่า กิจกรรมในวันเกิดเหตุเป็นเพียงกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์  เจตนาเพียงนำธง “ปฏิรูปกษัตริย์” ขึ้นสู่ยอดเสา แสดงถึงข้อเรียกร้องในการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ไม่ได้มีเจตนาผูกธงอื่นเหนือธงชาติ โดยได้พยายามแกะธงชาติออกแล้ว แต่แกะไม่ออก จึงได้รวบเก็บไว้ที่ด้านล่างเสาธง 

อ่านปากคำพยานโจทก์และจำเลยเพิ่มเติม 

ปากคำพยานคดีชักธง “ปฏิรูปกษัตริย์” ใน ม.ขอนแก่น: 3 นศ.ยืนยัน เพียงทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ ไม่ได้แสดงความไม่เคารพ-ไม่มีเจตนาเหยียดหยามธงชาติ

X