เมื่อวันที่ 16 – 17 พฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนได้รับแจ้งถึงกรณีของ “แนน” สาวิตรี (สงวนนามสกุล) พนักงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งที่มีสาขาทั้งในกรุงเทพฯ และนครสวรรค์ ได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางไปสอบถามข้อมูลส่วนตัวถึงที่ทำงาน 2 วันติดกัน ทั้งที่กรุงเทพฯ และนครสวรรค์ อ้างว่าเพื่อสืบหาว่าเธอเป็นเจ้าของแอคเคาท์ทวิตเตอร์ที่มีเนื้อหาเข้าข่ายมาตรา 112 หรือไม่ ซึ่งแนนยืนยันชัดเจนว่าไม่ใช่เธออย่างแน่นอน
แนนเล่าว่า จุดเริ่มต้นของเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อช่วงบ่ายของวันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน 2564 ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวน 4 นาย ได้เดินทางมาที่บริษัทของเธอ สาขากรุงเทพฯ โดย 3 นาย เป็นเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบ ทั้งหมดโดยสารมาในรถตู้สกรีนด้านข้างรถว่า “รับซ่อมกระจก” เมื่อเดินทางมาถึง เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สอบถามกับพนักงานคนอื่นที่สำนักงาน ซึ่งในเวลานั้น แนนไม่ได้อยู่ด้วย เพราะเธอทำงานที่สาขานครสวรรค์เป็นหลัก
ตำรวจได้สอบถามเพื่อนร่วมงานของเธอว่า แนนทำงานที่นั่นจริงหรือไม่ ทางเจ้าหน้าที่ยังได้เปิดเฟซบุ๊กส่วนตัวของแนนให้ดู และขอดูรูปแนน เมื่อทราบว่าแนนไม่ได้อยู่ที่นั่น เจ้าหน้าที่จึงขอที่อยู่ แต่ทางตัวแทนบริษัทไม่ได้ให้ไป เนื่องจากฝ่ายเจ้าหน้าที่ไม่ได้มีเอกสารทางการอะไรมายืนยันด้วย
แนนเล่าว่า ตัวเธอไม่เคยมีคดีความหรือข้อขัดแย้งอะไรกับใคร แต่เธอรับว่ามีการโพสต์เรื่องการเมืองผ่านทางเฟซบุ๊กบ้าง โดยโพสต์ล่าสุดของเธอไม่กี่วันก่อนเป็นโพสต์ล้อเลียนเรื่องการ #รับจ้างยืนในโรงหนัง ซึ่งมีคนแชร์ออกไปจำนวนมาก ทั้งทางเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์
อย่างไรก็ตาม เรื่องไม่ได้จบอยู่เพียงเท่านั้น เพราะในวันต่อมา (17 พฤศจิกายน 2564) เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งหมด 4 นาย ได้เดินทางไปพบแนนถึงที่ทำงานสาขานครสวรรค์ ช่วงเวลาก่อน 9 โมงเช้า และอยู่จนเกือบเที่ยงวัน หนึ่งในเจ้าหน้าที่ได้แสดงบัตรประจำตัว ระบุตัวเองเป็นชุดสืบสวนพิเศษ จากกองบัญชาการตำรวจนครบาลฯ ชื่อ พ.ต.ต.พัฒน์พงษ์ กื้อมะโน (จากการตรวจสอบพบว่ามีตำแหน่ง สว.กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.บช.น.) แนนจึงได้โทรติดต่อหาทนายความเพื่อขอคำปรึกษาทางกฎหมาย และติดต่อให้เพื่อนมาอยู่ร่วมในการซักถามด้วย
เจ้าหน้าที่ตำรวจรายดังกล่าวแจ้งว่า พวกเขากำลังตามหาเจ้าของทวิตเตอร์สองแอคเคาท์ ซึ่งมีเนื้อหาที่ตำรวจอ้างว่าเข้าข่ายมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา พร้อมระบุว่าเจ้าของแอคเคาท์ทั้ง 2 ได้แคปรูปภาพโพสต์ ‘รับจ้างยืนในโรงหนัง’ ไปเผยแพร่ในทวิตเตอร์ และมีคนรีทวิตออกไปเป็นจำนวนมาก แนนได้ยืนยันกับทางเจ้าหน้าที่ว่า เธอไม่ได้รู้จักเจ้าของแอคเคาท์ทั้ง 2 นั้นแต่อย่างใด
ทางเจ้าหน้าที่ยังได้ให้แนนดูเอกสาร ซึ่งเป็นข้อมูลตามทะเบียนราษฎรของเธอ พร้อมทั้งข้อมูลส่วนตัว และภาพเฟซบุ๊กที่เจ้าหน้าที่ได้แคปเอาไว้ ทั้งนี้ แนนเล่าว่า ในเอกสารของเจ้าหน้าที่ยังมีบัญชีทวิตเตอร์อื่นอีกหลายบัญชี ทางตำรวจยังพยายามสอบถามข้อมูลกับแนนเพิ่มเติม โดยไม่ได้มีหมายใดๆ และแนนเองก็ไม่ได้เซ็นต์ชื่อในเอกสารใดๆ กับทางเจ้าหน้าที่
เจ้าหน้าที่ตำรวจยังขอดูโทรศัพท์มือถือของแนน ถามว่าแนนเล่นทวิตเตอร์หรือไม่ แนนตอบว่าเล่น และได้เปิดแอคเคาท์ทวิตเตอร์ของเธอให้ตำรวจดู ทางเจ้าหน้าที่ไม่ได้ยึดมือถือไปจากมือของเธอ และเธอเป็นคนเปิดหน้าแอคเคาท์ให้ดูเอง ตำรวจยังบอกอีกว่า ‘นาย’ สั่งให้เดินทางมาเพื่อสืบหาเจ้าของแอคเคาท์สองรายดังกล่าว หลังจากซักถามแล้ว ทางเจ้าหน้าที่แจ้งว่า คงจะไม่กลับมาหาแนนอีก แต่หากสืบทราบว่าเจ้าของแอคเคาท์ทั้ง 2 รู้จักกับแนน เธออาจจะต้องมาให้การในฐานะพยาน
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แนนสะท้อนความรู้สึกว่าเธอค่อนข้างกลัว เพราะตำรวจรู้ข้อมูลของเธอละเอียดมาก ทั้งจำนวนเพื่อนและผู้ติดตามในเฟซบุ๊ก ยังพูดติดตลกอีกว่า “เป็นคนดังนะเนี่ย” สะท้อนว่าทางเจ้าหน้าที่รัฐได้เฝ้าจับตาความเคลื่อนไหวของเธอในโลกออนไลน์มาซักพักแล้ว