เมื่อวันที่ 29 ธ.ค.59 อัยการศาลมณฑลทหารบกที่ 37 ได้สั่งฟ้องคดีของนายสราวุทธิ์ (สงวนนามสกุล) ช่างตัดแว่นตาในจังหวัดเชียงราย ในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 ต่อศาลมณฑลทหารบกที่ 37 ภายหลังจากครบฝากขังผู้ต้องหาในชั้นสอบสวน จำนวน 7 ผัด และพนักงานสอบสวนส่งสำนวนให้อัยการทหารก่อนหน้านี้แล้ว โดยคดีนี้เจ้าหน้าที่ฝ่ายข่าวกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย มณฑลทหารบกที่ 37 เป็นผู้แจ้งความร้องทุกข์เอาไว้
คำฟ้องของอัยการทหารระบุว่าเมื่อวันที่ 21 ก.ค.59 เวลากลางวัน จำเลยได้หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ์ สยามมกุฎราชกุมาร องค์รัชทายาทในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 9 ราชวงศ์จักรี โดยจำเลยได้นำเข้าข้อมูลสู่ระบบคอมพิวเตอร์ โดยการโพสต์พระฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ซึ่งมีจำนวน 2 ภาพ เรียงต่อกันซ้ายและขวาในลักษณะเปรียบเทียบให้เห็นว่าภาพด้านซ้ายซึ่งเป็นภาพของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ในอิริยาบถเป็นการส่วนพระองค์ ลักษณะทรงยืนรับการถวายความเคารพจากเจ้าหน้าที่ คู่กับสุภาพสตรีไม่ทราบว่าเป็นบุคคลใด กับภาพด้านขวาที่ทับซ้อนกับภาพด้านซ้าย บางส่วนเป็นพระฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช พร้อมกับโพสต์ข้อความว่า “ทรงพระเท่มากพะยะค่ะ” ในบัญชีเฟซบุ๊กส่วนตัว
คำฟ้องยังระบุว่าจำเลยได้โพสต์โดยตั้งค่าเป็นการแชร์ต่อสาธารณะ ซึ่งบุคคลทั่วไปสามารถเห็นภาพและข้อความดังกล่าวได้ และได้มีเพื่อนสมาชิกเข้ามาแสดงความเห็นถูกใจ (Like) จำนวนมาก เป็นการกระทำที่ไม่บังควรต่อสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ซึ่งพระองค์ทรงเป็นรัชทายาท อันเป็นที่เคารพสักการะ อยู่เหนือการติชมทั้งปวง และจะละเมิดมิได้ เป็นการใส่ความต่อบุคคลที่สาม โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและโดยประการที่น่าจะทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติคุณ ทรงถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร และเผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์
เบื้องต้น นายสราวุทธิ์ระบุว่าตนไม่ได้โพสต์ในลักษณะเดียวกับที่คำฟ้องคดีระบุ และยืนยันจะต่อสู้คดีต่อไป โดยศาลทหารได้นัดหมายสอบถามคำให้การในคดี ในวันที่ 7 ก.พ.60 นี้
นายสราวุทธิ์ขณะประกอบอาชีพตัดแว่นสายตา
นายสราวุทธิ์ ปัจจุบันอายุ 32 ปี เปิดกิจการรับตัดแว่นและขายแว่นสายตาในจังหวัดเชียงราย เขาและภรรยามีลูกด้วยกัน 2 คน คนโตอายุ 5 ปี และคนเล็กอายุ 6 เดือน สราวุทธิ์เคยเข้าร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงในช่วงปี 2553 แต่ไม่ได้เคลื่อนไหวทางการเมืองภายใต้สังกัดกลุ่มใด โดยมากเป็นการแสดงความคิดเห็นในโลกออนไลน์ โดยตลอดสองปีกว่าที่ผ่านมาหลังการรัฐประหาร สราวุทธิ์ถูกเรียกตัวเข้าพูดคุยในค่ายทหารและถูกเจ้าหน้าที่เดินทางไปพบที่บ้านมากกว่า 10 ครั้ง และยังเคยถูกดำเนินคดีข้อหาฝ่าฝืนประกาศ คสช.ที่ 7/2557 เรื่อง ห้ามชุมนุมทางการเมือง จากกรณีที่สราวุทธิ์ได้ไปชูป้ายในพื้นที่เชียงราย เรียกร้องให้มีการปล่อยตัวผู้ทำกิจกรรมกินแมคโดนัลด์ต้านรัฐประหารที่ถูกคุมตัวไปภายในค่ายทหาร คดีนี้ศาลทหารได้พิพากษาให้จำคุก 6 เดือน ปรับ 10,000 บาท โดยให้รอการลงโทษจำคุกไว้เป็นเวลา 1 ปี
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 26 ส.ค.59 นายสราวุทธิ์ ได้ถูกเจ้าหน้าที่ทั้งทหาร ตำรวจ และเจ้าหน้าที่จากปอท. เข้าตรวจค้นที่บ้านพัก พร้อมกับตรวจยึดเครื่องคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ และแฟลชไดรฟ์ไป หลังจากนั้นพนักงานสอบสวนจึงได้มีการเรียกตัวนายสราวุทธิ์ไปแจ้งข้อกล่าวหาที่สภ.เมืองเชียงราย เมื่อวันที่ 11 ต.ค.59 ก่อนที่จะถูกนำตัวไปขออำนาจศาลทหารในการฝากขัง โดยนายสราวุทธิ์ไม่ได้รับการประกันตัว หลังจากญาติยื่นขอประกันตัวจำนวน 3 ครั้ง
จนภายหลังจากครบฝากขังในผัดที่ 4 ญาติของนายสราวุทธิ์ได้ยื่นขอประกันตัวเป็นครั้งที่ 4 เมื่อวันที่ 17 พ.ย.59 และศาลทหารได้อนุญาตให้ประกันตัวผู้ต้องหา ด้วยหลักทรัพย์ 1 แสนบาท ทำให้เขาได้รับการปล่อยตัวในระหว่างต่อสู้คดี หลังจากถูกคุมขังในเรือนจำเป็นเวลา 38 วัน
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
ศาลทหารไม่ให้ประกันคดี 112 ช่างตัดแว่นเชียงรายโพสต์ภาพพระบรมฯ
ศาลทหารอนุญาตให้ประกันตัว ‘สราวุทธิ์ ช่างตัดแว่นเชียงราย’ คดีม.112 หลังนอนคุก 38 วัน