“ตำรวจไม่ใช่ที่พึ่งของประชาชนอีกต่อไปแล้ว”: ความในใจแม่ขจรศักดิ์ หลังถูกตำรวจประกาศถึงหน้าบ้าน ‘ผู้ต้องหาทำระเบิดอยู่บ้านหลังนี้..’

เมื่อวันที่ 12 พ.ย. 64 ในเวลากลางดึก ประมาณ 5 ทุ่มเศษได้ ช่วงเวลาซึ่งคนทำงานหาเช้ากินค่ำอย่างครอบครัวของขจรศักดิ์เข้านอนแล้วด้วยความเหนื่อยล้าจากการทำงานรับจ้างตลอดทั้งวัน จู่ๆ แสงไฟวิบวับแยงตาและเสียงสัญญาณไซเรนจากรถตำรวจก็ดังระงมอยู่หน้าบ้านซึ่งตั้งอยู่ย่านมักกะสัน บางคันบีบแตรลากจังหวะยาวเป็นระยะๆ คล้ายกับตั้งใจปลุกปั่นประสาทให้ลุกขึ้นจากเตียงนอนยามวิกาล

ไม่นานนัก รถตำรวจคันหนึ่งที่จอดแช่อยู่หน้าบ้านได้ป่าวประกาศผ่านเครื่องเสียงของรถตำรวจว่า

“ผู้ต้องหาครอบครองวัตถุระเบิด นายขจรศักดิ์อยู่บ้านหลังนี้นะ เจ้าหน้าที่ตำรวจจะเฝ้าระวังเป็นพิเศษสำหรับผู้ต้องหารายนี้นะ นายขจรศักดิ์ ครอบครองวัตถุระเบิด ครอบครองวัตถุระเบิด มีการประดิษฐ์วัตถุระเบิด อยู่บ้านหลังนี้นะ บ้านหลังสีขาว…”

เสียงนี้ดังอื้ออึงไปทั่วบริเวณสร้างความตื่นตกใจให้กับชาวบ้านละแวกนั้นจนต้องลุกขึ้นจากเตียงนอนชะโงกดู เมื่อสิ้นประโยคพูดทำนองประจานสร้างความเกลียดชังที่นานกว่า 1 นาที ตำรวจได้ค่อยๆ เคลื่อนรถพวกเขากลับออกไป ทำให้ครอบครัวของขจรศักดิ์เห็นว่ายังมีรถกระบะของตำรวจที่ยกขบวนมาเพื่อการนี้อีกถึง 5 คัน

นี่เป็นครั้งที่ 2 แล้ว ที่ครอบครัวของขจรศักดิ์ต้องพบเจอกับเหตุการณ์คุกคามจากเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างเช่นคืนนี้ ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 31 ต.ค. 64 ตำรวจที่ขับรถมากว่า 5 คัน ก็เคยได้ทำอย่างนี้มาแล้ว ซึ่งพวกเขาเองก็ทั้งหวาดกลัวและไม่เข้าใจว่าเหตุใดตำรวจจึงทำถึงเพียงนี้ ทั้งๆ ที่ ขจรศักดิ์ ผู้ถูกกล่าวหาจากเหตุชุมนุมหน้า สน.พญาไท และถูกกล่าวหาว่าปาระเบิดป้อมจราจรตรงแยกพญาไทก็ถูกจับกุมถึงบ้านและถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำนานกว่า 1 เดือนแล้ว

ล่าสุดเมื่อกลางดึกของวันที่ 11 และ 12 ธ.ค. 64 เวลาประมาณ 3 ทุ่ม ตำรวจกว่า 9 คันรถกระบะ-รถตู้ ของกว่า 3 สน.ดินแดง, สน.ห้วยขวาง และสน.พญาไท ได้ขับกันมาพร้อมเปิดไฟและเสียงสัญญาณไซเรนจอดเรียงรายอยู่หน้าบ้านครอบครัวของขจรศักดิ์ แต่ครั้งนี้สมาชิกในครอบครัวได้ถือมือถือบันทึกภาพไว้และเดินไปหารถตำรวจเพื่อพยายามจับภาพเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งอยู่ภายในคันรถ และเพื่อสอบถามถึงเหตุผลที่ทำเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้เมื่อตำรวจเห็นดังนั้นจึงไม่ทันได้ป่าวประกาศทำนองประจานสร้างความเกลียดชังเช่นครั้งก่อนๆ และได้ขับรถออกไปทันที

จากเหตุการณ์สองครั้งหลังนี้ ทำให้ครอบครัวขจรศักดิ์ถูกตำรวจคุกคามรวมถึง 4 ครั้งแล้ว

1.1 ภาพเหตุการณ์ครั้งที่ 2 ก่อนตำรวจมาถึงได้เปิดสัญญาณไฟและเสียงไซเรน พร้อมกับบีบแตรส่งเสียงดังเป็นระยะ

.

1.2 หลังตำรวจมาถึงได้จอดหน้าบ้านของครอบครัวขจรศักดิ์และประกาศออกเสียงเสียงทำนองประจาน
ระบุว่าบ้านหลังนี้มีผู้ต้องหาครอบครอง-ทำระเบิด ชื่อขจรศักดิ์

.

1.3 เหตุการณ์ครั้งที่ 3 ที่สมาชิกในครอบครัวถ่ายไว้ได้ ก่อนตำรวจจะขับหนีออกไป โดยยังไม่ทันประกาศประจานเช่นครั้งก่อนๆ

‘ถ้าเขายังมาระรานเราอยู่อย่างนี้ เราจะอยู่ที่นี่ต่อไปได้มั้ย’

“คืนนั้นบ้านเราหลับกันหมดแล้ว แม่ไม่สบายด้วยเลยกินยาแล้วก็นอนไปแล้ว พอได้ยินเสียงไซเรนรถตำรวจเราก็ตกใจสะดุ้งตื่นเลย พอตั้งสติได้เราก็วิ่งลงมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ตำรวจเขาก็ขับรถออกไปแล้ว คลิปที่ถ่ายไว้ลูกชายเป็นคนถ่าย” แม่ของขจรศักดิ์วัย 48 ปีเล่าให้ฟังถึงเหตุการณ์ครั้งที่ 2 ที่ตำรวจมาคุกคามถึงหน้าบ้านเธอ

“เราใจสั่นทำอะไรไม่ถูกเลยค่ะ เด็กๆ ที่บ้านตกใจร้องไห้กันหมด ตำรวจเขาเปิดเสียงหวอดังลั่น มาหยุดอยู่หน้าบ้านเราเลย ที่บ้านมีหลานสองคนอายุ 3 ขวบ อีกคน 3 เดือน คนเล็กเป็นคนขี้ตกใจอยู่แล้ว ได้ยินเสียงอะไรดังหน่อยเขาก็สะดุ้งแล้ว ยิ่งเจอแบบนั้นเขายิ่งอาการหนักกว่าเดิมอีก” 

“แล้วถ้าพูดถึงว่าถ้าเขาลงจากรถมาทำอะไรเรา เราจะสู้อะไรเขาได้ เพราะเขาติดอาวุธมาครบมือเลย”

พี่สะใภ้ของขจรศักดิ์ซึ่งเป็นผู้ถ่ายวิดีโอไว้ได้ เล่าให้ฟังว่าในครั้งแรกตำรวจมาด้วยกันทั้งหมด 5 คัน สามคันหลังมีเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชน (คฝ.) จำนวน 8-10 นาย ถืออาวุธปืนและโล่กำบังนั่งอยู่เต็มท้ายรถทั้งสามคัน ส่วนครั้งที่ 2 เป็นตำรวจมาด้วยกันทั้งหมด 6 คัน โดยไม่มี คฝ.นั่งมาด้วยเหมือนครั้งแรก ที่แตกต่างไปอีกอย่างคือ ทุกคันเปิดไฟและเสียงสัญญาณไซเรน

“พอตำรวจไปแล้ว เราทั้งบ้านก็นั่งเครียดกันอยู่ข้างล่าง ไม่มีใครหลับลงเลยสักคน นั่งเครียดกันจนถึงตีสามตีสี่ นั่งคิดกันว่าถ้าเกิดเขาทำอะไรเรา เราจะเอายังไงกันดี

“บอกตรงๆ เลยว่าไม่รู้จะทำยังไง มืดแปดด้านไปหมด ไม่รู้จะทำยังไงต่อไปแล้ว” 

“ถ้าเขายังมาระรานเราอยู่อย่างนี้ เราจะอยู่ที่นี่ต่อไปได้มั้ย เราไม่มีเงินที่จะย้ายไปเช่าบ้านที่อื่นแล้ว ไหนจะลูกหลานอีกตั้งหลายคน ไปไหนมันก็ลำบาก อยู่นี่มาก็ตั้งหลายปีแล้ว”

.

‘เขาไปม็อบแม่ก็ไม่เคยห้ามเขานะ เราเองก็ไม่อยากอยู่ประเทศที่มันเป็นแบบนี้’

“ถ้าน้อง (ขจรศักดิ์) ไม่ได้ออกมาก็คงเสียใจกว่านี้ ทุกวันนี้แม่ยังทำใจไม่ได้เลย เพราะไม่เคยต้องห่างกันนานขนาดนี้ ห่วงว่าอยู่ข้างในนั้นเขาจะถูกใครทำร้ายหรือเปล่า เพราะขนาดนั้นเราที่อยู่ข้างนอกยังเจอขนาดนี้เลย”

“ห่วงสภาพจิตใจเขาว่า เขาจะทนไหวไหม เพราะถึงแม้ข้างนอกเขาจะเป็นคนที่ดูเข้มแข็ง แต่ข้างในเขาบอบบางมาก เวลามีเรื่องอะไรเขาจะไม่ยอมพูดให้ใครฟัง แต่เขาจะไปแอบร้องไห้คนเดียว”

“เราก็แอบหวังเหมือนกันว่าน้องจะออกมาเร็วๆ นี้ แต่ก็ยังหวังได้ไม่เต็มร้อยเท่าไหร่ เพราะเจอแบบนี้ ประกันไปกี่รอบศาลก็ไม่ให้ แล้วยังมาเจอตำรวจทำแบบนี้กับเราอีก แม่ท้อมากเลยค่ะ”

“เขาไปม็อบแม่ก็ไม่เคยห้ามเขานะ พูดตรงๆ ว่าเราไม่เคยห้ามเขา เขาก็พูดเหมือนเด็กคนอื่นว่าอยากไปเรียกร้องประชาธิปไตย”

เราเองก็ไม่อยากอยู่ประเทศที่มันเป็นแบบนี้ แต่ก่อนตอนม็อบเสื้อแดงเราก็ไปเหมือนกัน ตอนนี้เราเองอยากเปลี่ยนนายกฯ เพราะทุกวันนี้ประชาชนมีแต่หนี้สิน หาได้ก็พอให้กินไปวันๆ” 

“บ้านหลังนี้แต่ก่อนขจรศักดิ์ก็อยู่ด้วยกันนี่แหละ แฟนเขาก็อยู่ด้วย แต่แฟนเขาไปคลอดที่บ้านตัวเองเลยต้องอยู่ที่นั่นยาวเลย เพราะกลัวโควิดไม่กล้าเดินทาง ตอนนี้ลูกของน้องก็อายุได้ 5 เดือนแล้ว”

“พ่อกับแม่ก็ต้องหาเงินซื้อนมเลี้ยงหลานอยู่นี่แหละ เวลาเงินเดือนออกเราถึงได้ช่วยเป็นค่านมส่งไป เพราะว่าแฟนเขาก็ทำงานคนเดียว ตอนนี้แม่เองก็ต้องทำงานเป็นแม่บ้านถึงสองที่ เพราะว่าทำที่เดียวได้เงินไม่พอใช้ ส่วนคุณพ่อก็รับจ้างขับวินบางวันก็ได้บ้าง บางวันก็แทบไม่ได้เลย เราก็รู้ๆ กันอยู่ว่าเศรษฐกิจตอนนี้มันเป็นยังไง”

.

‘ตำรวจไม่ใช่ที่พึ่งของประชาชนอีกต่อไปแล้ว’

“สิ่งที่ตำรวจทำกับเรา แม่รู้สึกเสียใจมากนะ ทำไมเขาต้องทำกับเราขนาดนี้ หรือเพราะว่าเราจน ไม่มีเงินไปต่อรองกับเขาหรือเปล่า”

“วันที่น้องถูกพาตัวไปศาล แม่ไปเจอเขา น้องก็ตะโกนบอกแม่ว่า ‘ตำรวจบอกว่าถ้ามีเงิน 50,000 เขาจะปล่อยวันนั้นเลย’ ตอนแรกน้องพูดเสียงเบาๆ แต่ตำรวจที่อยู่ด้วยข้างในให้ตะโกนออกมาดังๆ เพราะกลัวแม่ไม่ได้ยิน”

“ไม่รู้ทำไมเขาถึงพูดกับลูกเราแบบนั้นนะ ทั้งๆ ที่วันนั้นเขาจะเอาลูกเราไปเข้าคุกอยู่แล้ว ศาลให้ฝากขังเรียบร้อยแล้ว เขาคงคิดว่าเราโง่ เราจน จะหลอกอะไรเราก็ได้ จะพูดอะไรกับเราก็ได้” 

“แม่ก็กลัวว่าวันนี้ (14 พ.ย. 64) เขาจะมาอีกรึเปล่า เพราะว่าวันนี้มีม็อบ (ม็อบต่อต้านระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่อนุสารีย์ประชาธิปไตย)”

“ที่จริงวันนี้แม่ต้องไปทำงานนะ แต่ไม่กล้าไป กลัวตำรวจจะมาแบบคืนนั้นอีก วันนี้ก็เลยลางาน เพราะวันนี้มีม็อบ กลัวว่าเขาจะมาอีกแน่ๆ เลยคืนนี้”

“แม่คิดว่าถ้าเขามาอีก แม่จะไปถามเขาดูว่าต้องการอะไร”

“เขาทำเพื่ออะไร เขาต้องการอะไร เขาจับลูกเราไปแล้วยังไม่พออีกเหรอ เขาจะเอาอะไรอีก ทุกวันนี้เขายังมีความเป็นคนอยู่หรือเปล่า เขาเป็นตำรวจปกป้องประชาชนหรือเขาเป็นอะไรกันแน่ ต้องให้ประชาชนเรียกเขาว่าอะไร ต้องเรียกว่าโจรใช่ไหม” เธอพูดเสร็จแล้วก็ถอนหายใจแรงด้วยความสิ้นหวัง

“ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว…” เธอถอนหายใจอีกครั้ง

“ตำรวจเขาต้องช่วยเหลือประชาชน ไม่ใช่ทำแบบนี้ แล้วอย่างนี้เราจะไปพึ่งใครได้ เราเจอเหตุการณ์คุกคามแบบนี้ สิ่งแรกที่เรานึกถึงคือ เราต้องไปแจ้งความกับตำรวจ ให้เขามาช่วยดูแลเรา แต่ปรากฏว่าตำรวจทำเองอย่างนี้ แล้วเราจะไปแจ้งใครล่ะ”

“ตำรวจไม่ใช่ตำรวจแล้วทุกวันนี้ เหมือนที่แม่พูดว่า ถ้าประชาชนเดือดร้อนจะไปแจ้งความที่ไหน เพราะว่าตำรวจคงไม่ใช่ที่พึ่งของประชาชนแล้ว”

“ทุกวันนี้ตำรวจเป็นแบบนี้แล้วใครจะช่วยประชาชน”

“ประชาชนก็อยากพึ่งพาตำรวจ แต่ตำรวจทำแบบนี้ เราก็ไม่หวังจะพึ่งเขาอีกต่อไปแล้ว”

“มันหาความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมยากแล้วตอนนี้ ใครไม่เจอกับตัวไม่รู้หรอกว่ากระบวนการยุติธรรมทุกวันนี้มันเป็นยังไง”

“อยากจะฝากว่าขอให้ช่วยน้องออกมาให้ได้เท่านั้นแหละค่ะ แล้วก็ไม่รู้อีกว่าถ้าเขาได้ออกมาแล้วชีวิตครอบครัวเราจะยังมีความสุขอยู่หรือเปล่า เขาจะยังตามรังควานเราอย่างนี้อีกหรือเปล่า”

“ขอให้ช่วยน้องให้ได้นะคะ” แม่ของขจรศักดิ์พูดทิ้งท้ายก่อนจบบทสนทนาครั้งนี้

.

.

อ่านเรื่องราวของขจรศักดิ์

“ขจรศักดิ์”: จากเด็กจบ ม.2 ครึ่ง, งาน รปภ. สู่การชุมนุมม็อบทะลุแก๊ซ และการถูกคุมขัง

จับวัยรุ่น 2 ราย อ้างเหตุร่วมปาระเบิดเพลิงใส่ป้อมจราจรพญาไท #ม็อบ30กันยา ก่อนศาลไม่ให้ประกัน – อุ้มหายเยาวชนหลังจับฝ่าเคอร์ฟิว ก่อนพบตัว ที่ สน.ดินแดง ตอนเช้า

X