วันที่ 13 ก.ย. 64 ที่ศาลแขวงเชียงใหม่ มีนัดอ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 5 ในคดีที่ ประสิทธิ์ ครุธาโรจน์ หรือ “เจมส์” บัณฑิตจากคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และสมาชิกกลุ่ม “สมัชชาเสรีแห่งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เพื่อประชาธิปไตย” ถูกอัยการฟ้องในข้อหา “เป็นผู้ประสงค์จะจัดการชุมนุมสาธารณะโดยไม่แจ้งการชุมนุมต่อผู้รับแจ้งการชุมนุม ก่อนเริ่มการชุมนุมไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมง” ตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 มาตรา 10 จากกรณีกิจกรรมแฟลชม็อบ #ไม่ถอยไม่ทน ของประชาชนจังหวัดเชียงใหม่ ที่บริเวณลานประตูท่าแพ เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 62
ข้อต่อสู้สำคัญของจำเลยในคดีนี้ คือการยืนยันว่าตนไม่ใช่ผู้จัดการชุมนุมแฟลชม็อบดังกล่าว แต่กิจกรรมเกิดจากการรวมตัวของประชาชนหลากหลายกลุ่ม ไม่มีเวทีปราศรัย ไม่มีใครขึ้นเป็นแกนนำ จำเลยเพียงแต่เป็นผู้โพสต์ข้อความเชิญชวนในเพจ และเข้าร่วมกิจกรรมในฐานะผู้ร่วมชุมนุมคนหนึ่ง ซึ่งพฤติการณ์ดังกล่าวไม่ควรตีความว่าเข้าข่ายเป็น “ผู้ประสงค์จะจัดการชุมนุม” ตาม พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ มาตรา 10 วรรคสอง
ต่อมาวันที่ 5 พ.ย. 63 ศาลแขวงเชียงใหม่ได้มีคำพิพากษาว่าการโพสต์เชิญชวนให้ประชาชนเข้าร่วมกิจกรรม ถือว่าจำเลยเป็นผู้ประสงค์จะจัดการชุมนุมสาธารณะแล้ว พิพากษาลงโทษปรับจำเลยเป็นเงินจำนวน 9,000 บาท แต่คำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดีอยู่บ้าง ให้ลดโทษปรับ 1 ใน 3 คงเหลือโทษปรับเป็นจำนวน 6,000 บาท
อ่านทบทวนการสืบพยานทั้งฝ่ายโจทก์และจำเลย พร้อมคำพิพากษาของศาลแขวงเชียงใหม่ ในคดีนี้
>> ทบทวนปากคำพยาน ก่อนศาลพิพากษาคดี “เจมส์ ประสิทธิ์” โพสต์ชวนร่วมแฟลชม็อบ “ไม่ถอยไม่ทน”
>> ศาลปรับ 9 พันบาท คดี “เจมส์ ประสิทธิ์” ชุมนุมไม่ถอยไม่ทน ชี้แค่โพสต์ชวนก็เข้าข่ายผู้จัด
อ่านคำอุทธรณ์ของจำเลย โต้แย้ง 6 ประเด็น ในคำพิพากษาศาลชั้นต้น
>> เปิดคำอุทธรณ์โต้ 6 ประเด็น คำพิพากษาศาลชั้นต้น
วันนี้ ประสิทธิ์และทนายความได้เดินทางเข้าฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 5 ที่ศาลแขวงเชียงใหม่ ตั้งแต่ช่วงเวลาประมาณ 9.30 น. แต่ได้ฟังคำพิพากษาในเวลา 12.08 น. เนื่องจากมีการพิจารณาคดีอื่นจำนวนมากในห้องพิจารณาเดียวกัน ผู้พิพากษาได้อ่านคำพิพากษาในส่วนที่เป็นผลของคำพิพากษาให้จำเลยทราบเท่านั้น เพื่อความกระชับในการพิจารณา ไม่ได้อ่านเนื้อหาคำพิพากษาในรายละเอียด โดยสรุปว่าศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ลงโทษปรับจำเลยเป็นจำนวน 6,000 บาท ส่วนอุทธรณ์ของจำเลยนั้นยังฟังไม่ขึ้น
ด้านทนายความทราบรายละเอียดคร่าวๆ ว่า ในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยว่า แม้ทางนำสืบของโจทก์จะไม่ปรากฎว่าจำเลยเป็นผู้ประสงค์จะจัดการชุมนุม แต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้โพสต์เชิญชวนในการชุมนุมแฟลชม็อบ เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 62 จึงถือได้ว่าจำเลยเป็นผู้ประสงค์จะจัดการชุมนุม ตาม พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ มาตรา 10 วรรคสอง แล้ว
ทนายความมีความเห็นต่อคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 5 ในเบื้องต้น ว่าการตีความของศาลที่ออกมาลักษณะเช่นนี้ จะทำให้ขอบเขตของ พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะฯ ถูกตีความขยายออกไปว่า บุคคลหนึ่งจะเป็นผู้ประสงค์จะจัดการชุมนุมจริงหรือไม่ แค่มีการโพสต์เชิญชวนให้เข้าร่วมกิจกรรม ก็อาจมีความผิดได้ตาม พ.ร.บ.ชุมนุมฯ ได้แล้ว แต่ยังต้องติดตามคัดถ่ายคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 5 ในฉบับเต็มต่อไป
ส่วนนายประสิทธิ์ จำเลยในคดีนี้ ให้ความเห็นหลังฟังคำพิพากษา ระบุว่า “ ไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับผลคำพิพากษาที่ออกมา ตั้งแต่วันที่ได้ฟังคำพิพากษาของศาลชั้นต้นมา ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าจะต้องโดนลงโทษ แต่ก็ยังมีความสงสัยว่าในเมื่อเราไม่ได้ประสงค์จะจัดการชุมนุมจริงๆ อีกทั้งยังไม่ใช่ผู้ที่โพสต์เชิญชวนการชุมนุมเป็นคนแรกและคนเดียวด้วย แต่ทำไมกลายเป็นเราที่โดน มันจึงดูเหมือนจริงๆ แล้วมันมีการเลือกใช้กฎหมายอยู่ มีการตั้งเป้าไว้แล้วว่าจะดำเนินคดีกับใคร”
ทางทนายความและจำเลยจะได้พิจารณาเรื่องการฎีกาคำพิพากษาต่อไป