ตำรวจจับพยาบาลอาสา #ม็อบ8กันยา 2 ราย รายหนึ่งเป็นเยาวชนอายุ 17 พร้อมแจ้งข้อหา “ฝ่าฝืนเคอร์ฟิว”

หลัง #ม็อบ8กันยา ที่บริเวณสามเหลี่ยมดินแดงสิ้นสุดลงในช่วงเช้ามืดของวันที่ 9 กันยายน 2564 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนได้รับแจ้งเหตุตำรวจจับกุมประชาชน 2 ราย ทั้งสองคนเป็นหน่วยพยาบาลอาสาในพื้นที่ชุมนุม แยกเป็นชายอายุ 20 คนหนึ่ง และเยาวชนอายุ 17 ปีคนหนึ่ง ภายหลังตำรวจได้แจ้งข้อกล่าวหา ฝ่าฝืนมาตรการห้ามออกนอกเคหสถาน กับผู้ต้องหาทั้ง 2 คน 

“อู๋” (นามสมมติ) ชายอายุ 20 ปี รายงานว่าเมื่อวันที่ 8 กันยายน ตนและเยาวชนอายุ 17 ปีเข้ามาที่บริเวณสามเหลี่ยมดินแดงตั้งแต่เวลา 15.30 น. โดยทำหน้าที่เป็นหน่วยพยาบาลอาสา คอยดูแลประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากแก๊สน้ำตาจวบจนการชุมนุมสิ้นสุด คาดการณ์ว่าเป็นช่วงเวลาประมาณ 01.00 น. ของวันที่ 9 ก.ย.

ต่อมาในเวลา 02.00 น. อู๋และเพื่อนเยาวชนเดินทางออกจากพื้นที่ชุมนุม โดยใช้รถจักรยานยนต์มุ่งหน้าไปทางรามคำแหง ในขณะที่ขับไปถึงห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี สาขา หัวหมาก รถสายตรวจคันหนึ่งได้ขับเข้ามาปาดหน้ารถของเขา หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 คนจึงลงมาจากรถ จากการสังเกตตราสัญลักษณ์และป้ายชื่อที่ติดอยู่บนหน้าอก อู๋เข้าใจว่าเจ้าหน้าที่ทั้งสองมียศสิบโท

ตำรวจทั้งสองไม่ได้แสดงบัตรตำรวจหรือแจ้งชื่อ-นามสกุลใดๆ หนึ่งในนั้นถามอู๋และเพื่อนว่า “มึงไปไหนกันมา” และทั้งสองเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม “ทะลุแก๊ส” หรือไม่ เมื่ออู๋อธิบายว่าตนทำหน้าที่ปฐมพยาบาลในพื้นที่ชุมนุม และจำเป็นต้องใส่เสื้อเกราะเพื่อป้องกันตัวเองจากกระสุนยางของตำรวจเอง เจ้าหน้าที่ปฏิเสธที่จะรับฟัง และนำกุญแจมือมาใส่ให้กับทั้งเขาและเยาวชนที่มาด้วยกัน แม้ว่าอีกฝ่ายจะแจ้งกับเจ้าหน้าที่ว่าตนอายุ 17 ปี 

อู๋ระบุว่าตนจำเป็นต้องใส่เสื้อเกราะกันกระสุน เพราะต้องการป้องกันตัวจากความรุนแรงจากฝั่งตำรวจ เขาเข้ามาเป็นหน่วยพยาบาลอาสาในพื้นที่ดินแดงตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม โดยมีจุดประสงค์เดียวคือต้องการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ เมื่อวันที่ 7 กันยายน อู๋ถูกยิงกระสุนยางเข้าที่บริเวณสะโพกด้านซ้ายจนมีรอยฟกช้ำ และในขณะที่เขากำลังช่วยเหลือประชาชนที่ถูกรถตำรวจพุ่งเข้าชน ตำรวจชุดควบคุมฝูงชนพยายามเอาโล่และกระบองฟาดมาที่เขา 

หลังใส่กุญแจมือแล้ว ตำรวจทั้งสองนายร่วมกันค้นตัวของอู๋ โดยคนหนึ่งเลิกเสื้อของอู๋ขึ้น และนำทรัพย์สินในกระเป๋าเป้ของเขาออกมาถ่าย ประกอบด้วย ลูกบอลประทัดที่เขารับฝากจากเพื่อน, กระเป๋าสตางค์ของเขา และมีดพับของเยาวชนที่มาด้วยกัน ในขณะที่อู๋กำลังจะรูดซิบกระเป๋า เจ้าหน้าที่แสดงท่าทีคล้ายจะหยิบอาวุธปืนขึ้นมายิง จนอู๋ต้องรีบอธิบายว่าตนกำลังจะนำของออกมาให้ดูตามคำสั่งเจ้าหน้าที่เท่านั้น นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังถ่ายรูปอู๋กับเพื่อน และยึดบัตรประชาชนของเขาไปอีกด้วย

หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งได้โทรศัพท์เรียกให้รถตู้เข้ามาที่บริเวณจับกุม และให้อู๋กับเพื่อนขึ้นรถคันดังกล่าวไป โดยแจ้งว่าจุดหมายปลายทางคือ สน.หัวหมาก มีเจ้าหน้าที่อีก 2 คนเข้ามาสมทบตำรวจชุดแรก แยกเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบ 1 นาย และตำรวจในเครื่องแบบอีก 1 นาย ซึ่งอู๋คาดการณ์ว่ามียศร้อยตำรวจเอก จากการสังเกตตราสัญลักษณ์และป้ายชื่อที่ติดอยู่บนหน้าอกเช่นกัน ไม่มีเจ้าหน้าที่คนใดที่แจ้งข้อกล่าวหาที่นำไปสู่การจับกุมให้อู๋ทราบก่อน 

ในระหว่างการจับกุมและการเดินทางไปที่โรงพัก อู๋เล่าว่าเจ้าหน้าที่ได้ใช้ถ้อยคำหยาบคายและข่มขู่กับตนและเยาวชน พร้อมกับใช้สรรพนาม “กู” และ “มึง ตลอดเวลา เช่น เมื่อตอนที่ถามอายุของอู๋กับเพื่อน ตำรวจพูดใส่ทั้งสองว่า “ติดคุกยาวแน่มึง” และเมื่ออู๋พยายามแจ้งเจ้าหน้าที่ว่ากุญแจมือรัดข้อมือของตนจนรู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก เจ้าหน้าที่นายหนึ่งได้ตอบกลับมาว่า “พวกมึงนั่งเงียบๆ ชิดๆ กันไปเลย ไม่ต้องพูด เงียบปากไปทั้งคู่”

ตำรวจควบคุมตัวทั้งสองไปถึง สน.หัวหมาก ในเวลา 03.30 น. โดยประมาณ หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ให้อู๋เข้าสู่กระบวนการตรวจสารเสพติดในปัสสาวะ และให้เขานั่งรอกับพื้นในโรงพัก ในระหว่างนั้น ตำรวจนายหนึ่งได้หยิบลูกบอลประทัดที่ถูกยึดมา แล้วทำท่าเหมือนจะเขวี้ยงใส่อู๋ ส่วนตำรวจอีกนายหนึ่งข่มขู่อู๋ว่า “พวกมึงนี่นะ เก่งจริงๆ เดี๋ยวกูจะเอาคดีให้พวกมึงหนักๆ เลย”

เจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งเข้ามายึดโทรศัพท์ของอู๋และเพื่อนไป เพื่อค้นข้อความในโทรศัพท์และถ่ายรูปเก็บเอาไว้ หลังจากนั้นพนักงานสอบสวน สน.หัวหมาก ได้สอบปากคำเขา และแจ้งข้อหา ฝ่าฝืนมาตรการห้ามออกนอกเคหสถาน ในระหว่างเวลา 21.00 -04.00 น.

ในขณะการสอบสวน อู๋ยืนยันว่าตนเป็นหน่วยพยาบาลอาสา ไม่ใช่ผู้ชุมนุม และลูกบอลประทัดไม่ใช่ของตน แต่เจ้าหน้าที่กลับตอบเขาว่า “ไปคุยกับศาลเอานะ”

กระบวนการสอบปากคำเสร็จสิ้นในเวลา 04.00 น. โดยประมาณ หลังจากนั้นตำรวจได้คืนโทรศัพท์ให้กับผู้ต้องหาทั้งสอง เบื้องต้นอู๋ให้การสารภาพในชั้นสอบสวน 

ในวันนี้ (10 กันยายน 2564) หลังอัยการมีคำสั่งฟ้องคดีนี้ ศาลแขวงพระนครเหนือมีคำพิพากษาให้ลงโทษปรับเป็นเงินจำนวน 2,500 บาท

X