ในช่วงค่ำวานนี้ (1 ส.ค. 64) เจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองบัญชาการตำรวจนครบาลได้เข้าจับกุม ผู้ขับรถปราศรัยของราษฎร รวม 3 ราย จากกรณีนำรถบรรทุกเครื่องขยายเสียง เข้าร่วมชุมนุมกดดันเรียกร้องให้ปล่อยตัวนักกิจกรรมจากเครือข่ายคนรุ่นใหม่นนทบุรี 7 คน ที่บริเวณหน้า บก.ตชด. ภาค 1 จ.ปทุมธานี
สำหรับคดีนี้ มีผู้ถูกจับกุมทั้งหมด 3 ราย ได้แก่ นายอุทัย (นามสมมุติ), นายยุทธนา (นามสมมุติ) และนายณรงค์ (นามสมมุติ) ซึ่งได้ถูกจับกุมระหว่างนำรถเครื่องขยายเสียงเดินทางกลับออกจากหน้า บก.ตชด.ภาค 1 หลังตำรวจได้ปล่อยตัวเครือข่ายคนรุ่นใหม่นนทบุรี ในช่วงเวลาประมาณ 18.30 น. แล้ว
ในการจับกุม เจ้าหน้าที่ได้มีการยึดโทรศัพท์มือถือของทั้งสามคน ทำให้ไม่สามารถติดต่อใครได้ และไม่มีใครทราบเรื่องการจับกุม จนกระทั่งถูกนำตัวไปที่กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) ภายในสโมสรตำรวจ ถนนวิภาวดีรังสิต
เจ้าหน้าที่ได้จัดทำบันทึกจับกุมทั้งสามคน โดยไม่ได้มีทนายความอยู่ร่วมด้วย และได้ทำการตรวจยึดทรัพย์สิน ทั้งรถบรรทุก, ลำโพง, เครื่องขยายเสียง, เครื่องปั่นไฟ, ไมค์, อุปกรณ์ต่างๆ เกี่ยวกับเครื่องเสียง รวมทั้งโทรศัพท์มือถือของทั้งสามคนด้วย
จนกระทั่งเวลาประมาณ 23.00 น. เศษ หลังเพื่อนไม่สามารถติดต่อผู้ต้องหาทั้งสามรายได้ และได้ติดตามตรวจสอบจนพบว่าถูกจับกุมตัวไป ทำให้ได้ประสานมายังศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ทนายความจึงได้ติดตามเข้าไปภายใน บช.ปส. หลังเวลา 24.00 น. แล้ว
จับรถปราศรัย อ้างร่วมกิจกรรมเสี่ยงแพร่เชื้อ ก่อนแจ้งเพิ่ม “พ.ร.บ.จราจร-เครื่องขยายเสียง”
สำหรับบันทึกการจับกุมระบุพฤติการณ์ในการจับกุมว่า เมื่อวันที่ 1 ส.ค. 64 เวลาประมาณ 18.56 น. เจ้าพนักงานตํารวจ ภายใต้การสั่งการของ พ.ต.อ.กฤศณัฏฐ์ ธนศุภณัฏฐ์ ผู้กำกับกองบังคับการสืบสวน 2 กองบัญชาการตำรวจนครบาล และ พ.ต.ท.สุชาติ มงคลพิพัฒน์ รองผู้กำกับกองบังคับการสืบสวน 2 นำกำลังตำรวจ รวม 9 นาย ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหาทั้งสาม บริเวณหน้าปั้มน้ำมันบางจาก ตำบลคลองสี่ อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี
พฤติการณ์โดยสรุประบุว่า เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้รับคำสั่งจากผู้บัญชาการให้ทำการสืบสวนติดตามผู้ขี่รถเครื่องขยายเสียงและอุปกรณ์เวทีในการปราศรัยของกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ซึ่งมาร่วมชุมนุมเพื่อขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยเป็นรถบรรทุก 6 ล้อ
เมื่อเวลาประมาณ 11.00 น. ของวันที่ 1 ส.ค. 64 เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้พบรถบรรทุกคันดังกล่าวเข้าร่วมการชุมนุมที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ตรงบริเวณหน้าร้านแมคโดนัลด์ โดยมีกลุ่มผู้เข้าร่วมการชุมนุมบริเวณดังกล่าวประมาณ 200 คน และพบผู้ต้องหาที่ 1 ทําหน้าที่เป็นผู้ขับรถ ผู้ต้องหาที่ 2 และผู้ต้องหาที่ 3 ได้นั่งอยู่ที่บริเวณที่นั่งข้างคนขับ จึงได้ทําการติดตามพฤติการณ์โดยตลอด เนื่องจากผู้ต้องหาได้กระทําการอันเป็นความผิดต่อกฎหมาย โดยร่วมกันชุมนุมหรือทํากิจกรรมที่มีความเสี่ยงกับการแพร่โรคในพื้นที่ที่มีการประกาศหรือคําสั่งกําหนดเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด
ต่อมา พบว่าผู้ต้องหาทั้งหมดได้ขับรถบรรทุก 6 ล้อ มุ่งหน้าไปยังแยกดินแดง จนเมื่อเวลาประมาณ 17.00 น. ผู้ต้องหาที่ 1 ได้ขับรถเพื่อนํานายพริษฐ์ ชิวารักษ์ กับพวก ไปร่วมชุมนุมที่บริเวณหน้า บก.ตชด. ภาค 1 เมื่อไปถึงที่ดังกล่าว ได้จอดทํากิจกรรมอยู่ประมาณ 10 นาที จากนั้นได้ขับรถออกจากบริเวณดังกล่าว
เมื่อผ่านมาถึงบริเวณปั้มน้ำมันบางจาก ผู้ต้องหาที่ 1 กับพวก ได้จอดรถแวะที่ปั้ม โดยลงจากรถไปเข้าห้องน้ำ เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้เข้าไปแสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตํารวจและได้แจ้งกับผู้ต้องหาถึงการจับกุมตัว และนำตัวไปที่ บช.ปส.
ตำรวจได้แจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบว่า “ร่วมกันจัดกิจกรรรมวมกลุ่มของบุคคลที่มีจํานวนร่วมกันมากกว่าห้าคน ในเขตพื้นที่ที่มีการประกาศหรือคําสั่งกําหนดเป็นพื้นที่ควบคบสูง และเข้มงวด และร่วมชุมนุมหรือทํากิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร์โรคในพื้นที่ที่มีการหรือคําสั่งกําหนดเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด”
ตำรวจอ้างว่า ผู้ต้องหาทั้งสามได้ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุม โดยผู้ต้องหาที่ 2 ให้การยอมรับว่าเป็นเจ้าของเครื่องเสียงและอุปกรณ์การปราศรัยบนรถบรรทุก และเป็นผู้รับจ้างผู้ต้องหาที่ 1 นำรถเครื่องเสียงมา ส่วนผู้ต้องหาที่ 3 ให้การยอมรับว่าเป็นผู้ที่มาช่วยผู้ต้องหาที่ 2 ในการควบคุมเครื่องขยายเสียง การให้การในชั้นจับกุมดังกล่าวเกิดขึ้นโดยไม่มีทนายความหรือผู้ไว้วางใจอยู่ร่วมกับทั้งสามคน
ก่อนที่ ร.ต.อ.โยธี เสริมต่อสุข พนักงานสอบสวน สน.สำราญราษฎร์ ได้เดินทางมาที่กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช. ปส.) ทำการแจ้งข้อกล่าวหาทั้งสามเพิ่มเติม โดยมีทนายความเข้าร่วมด้วย ตำรวจได้ระบุพฤติการณ์เช่นเดียวกับชั้นจับกุม แต่ระบุว่าจากพฤติการณ์ดังกล่าวยังเป็นความผิดในฐานอื่นอีกด้วย จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ต้องหาทราบเพิ่มเติมว่ามีความผิดใน 4 ข้อกล่าวหา ได้แก่
- ร่วมกัน ฝ่าฝืนข้อกำหนดออกตามมาตรา 9 พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ โดยร่วมกันชุมนุมทำกิจกรรมหรือมั่วสุมกันในลักษณะที่เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโรค
- ร่วมกันกีดขวางทางสาธารณะ จนอาจเป็นอปสรรคต่อความปลอดภัยหรือความสะดวกในการจราจรตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 385
- ร่วมกันวาง ตั้ง ยื่น หรือแขวนสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือกระทําด้วยประการ ใดๆ ในลักษณะที่เป็นการกีดขวางการจราจร ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ มาตรา 114
- ร่วมกันโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียงด้วยกําลังไฟฟ้าโดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียงฯ มาตรา 8
ในชั้นสอบสวน ผู้ต้องหาทั้งสามให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา โดยจะให้การเพิ่มเติมเป็นหนังสือต่อไป และได้ขอลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน ว่าในขณะที่ถูกจับกุม เจ้าหน้าที่ไม่ได้แจ้งสิทธิของผู้ต้องหาให้ทราบ อีกทั้งยังยึดอุปกรณ์สื่อสาร และไม่ให้ผู้ต้องหาติดต่อบุคคลที่ไว้ใจ เพื่อแจ้งให้ทราบถึงการจับกุม
รวมถึงในขณะลงลายมือชื่อในเอกสาร ไม่มีทนายความ หรือบุคคลผู้ไว้วางใจอยู่ด้วย ผู้ต้องหาอยู่ในสภาวะที่กำลังตกใจ ไม่ได้อ่านข้อความอย่างละเอียดจึงได้ลงลายมือในเอกสารบันทึกการจับกุมและบันทึกตรวจยึดด้วยความไม่เข้าใจ
ผู้ต้องหายังเห็นว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมโดยไม่มีหมายจับ และไม่ใช่การจับกุมซึ่งหน้า ถือว่าเป็นการจับกุมโดยมิชอบทางกฎหมาย ไม่มีอำนาจควบคุมตัว ขอให้ปล่อยตัวผู้ต้องหาโดยทันที
อีกทั้งผู้ต้องหายังไม่ยินยอมให้ยึดสิ่งของต่างๆ ตามที่ระบุในบันทึกการตรวจยึด เนื่องจากไม่ได้กระทำผิดตามกฎหมาย และสิ่งของเหล่านี้ ไม่ใช่สิ่งของที่ใช้กระทำความผิด ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับการพิสูจน์ความผิดหรือความบริสุทธิ์ในคดีนี้ และหากสิ่งของที่ใช้ทำมาหาเลี้ยงชีพถูกยึดจะได้รับความเดือดร้อน
ในช่วงเช้าวันนี้ พนักงานสอบสวนสน.สำราญราษฎร์ ได้ยื่นขอฝากขังทั้งสามคนต่อศาลแขวงดุสิต ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์จากภายใน บช.ปส.
ต่อมาเวลา 10.40 น. ศาลแขวงดุสิตอนุญาตให้ฝากขัง แต่อนุญาตให้ประกันตัวผู้ต้องหาทั้งสามคน โดยไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ แต่ให้สาบานตนว่าจะมาตามนัด พร้อมกำหนดวันนัดรายงานตัวในคดี วันที่ 20 ส.ค. 64 เวลา 09.00 น.
จากนั้นตำรวจได้นำตัวทั้งสามคนไปปล่อยที่ศาลแขวงดุสิต ท่ามกลางการชุมนุมของนักกิจกรรมจากกลุ่ม “ทะลุฟ้า” ที่เดินทางมาบริเวณหน้าสโมสรตำรวจ เพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวทั้งสามคน