ตร.เข้าตรวจยึดคอมฯ บ้าน ‘จ่านิว’ ขณะมีเพียงยาย-น้องสาวอยู่บ้าน

หลังจาก น.ส.พัฒน์นรี (สงวนนามสกุล) มารดาของ นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือ ‘จ่านิว’ นักศึกษาที่ทำกิจกรรมเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตย และตกเป็นจำเลยในคดีส่องโกงราชภักดิ์ เข้าพบพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ตามหมายจับศาลทหารกรุงเทพ ที่ 36/2559 ลงวันที่ 6 พ.ค.59 และพนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาว่ากระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และพระราชบัญญัติการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์(พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ) มาตรา 14 (3) จากกรณีที่มารดาจ่านิวไม่ได้ห้ามปรามหรือต่อว่าที่นายบุรินทร์ ส่งข้อความที่มีเนื้อหาหมิ่นพระมหากษัตริย์ฯ มาทางกล่องข้อความของเฟซบุ๊ก พร้อมทั้งไม่อนุญาตให้ประกันตัวในชั้นสอบสวน เนื่องจากเกรงผู้ต้องหาจะหลบหนี หรือยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน และควบคุมตัวมารดาจ่านิวไว้ที่ สน.ทุ่งสองห้องเมื่อคืนวันที่ 6 พ.ค.ที่ผ่านมานั้น ในวันนี้ (7 พ.ค.59) มีความเคลื่อนไหวในคดีดังกล่าว ดังนี้

ในช่วงเช้านายสิรวิชญ์ ที่เพิ่งเดินทางกลับจากต่างจังหวัด และประชาชนอีกหลายสิบคนได้เดินทางเข้าเยี่ยมน.ส.พัฒน์นรี ที่ถูกควบคุมตัวไว้ที่สน.ทุ่งสองห้องตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา จนเวลา 10.30 น. น.ส.พัฒน์นรีได้ถูกนำตัวมาที่ บก.ปอท. เพื่อทำเรื่องย้ายสถานที่ควบคุมตัวจาก สน.ทุ่งสองห้อง ไปยังกองบังคับการปราบปราม มีรายงานข่าวด้วยว่า จะมีการแถลงข่าวที่กองบังคับการปราบปราม จากนั้น เวลาประมาณ 11.30 น. มารดาของสิรวิชญ์ถูกนำตัวมาควบคุมที่กองบังคับการปราบปราม

ต่อมา เวลา 13.00 น. พ.ต.อ.โอฬาร สุขเกษม ผกก.3บก.ปอท.หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน ผู้รับผิดชอบคดีนี้ แถลงข้อเท็จจริงในคดีของนายบุรินทร์ อินติน และน.ส.พัฒน์นรี โดยมีพ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ ฝ่ายกฎหมายคสช. ร่วมแถลงข่าว ขณะที่มารดาจ่านิวปฏิเสธที่จะเข้าร่วม ด้านทนายความและจ่านิวไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าในห้องแถลงข่าวแต่อย่างใด

การแถลงและตอบคำถามสื่อของ พ.ต.อ.โอฬาร สรุปความได้ว่าการกระทำความผิดในคดีนี้เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ และประมวลกฎหมายอาญา เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และประมวลกฎหมายอาญา พร้อมทั้งยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ดำเนินคดีเพราะมีพยานหลักฐาน และดำเนินการตามหมายจับซึ่งออกโดยศาล กรณีที่มีข่าวว่าผู้ต้องหาไม่ได้ทำอะไรเลย พ.ต.อ.โอฬารยืนยันว่า ผู้ต้องหาทั้งสองมีพฤติการณ์ที่กระทำความผิดร่วมกันไม่ใช่การพิมพ์คำว่า “จ้า” อย่างเดียว ซึ่งรายละเอียดยังไม่สามารถเปิดเผยได้ แต่ทุกอย่างจะไปปรากฎในชั้นศาล

นอกจากนี้ พ.ต.อ.โอฬาร ยังได้กล่าวว่า กรณีที่มีการนำเสนอข่าวเกี่ยวกับคดีนี้ที่ไม่ถูกต้องตรงความจริงก็จะถูกดำเนินคดีได้ ข้อความที่เป็นความผิดคนที่กดไลค์ หรือแชร์ออกไปก็ต้องรับผิดชอบ พร้อมกันนี้ พ.ต.อ.โอฬาร ชี้แจงว่า จะควบคุมตัว น.ส.พัฒน์นรีไว้ที่กองปราบ เพราะมีความพร้อมและเป็นความสมัครใจของผู้ต้องหา และยืนยันว่ากฎหมายไทยบังคับใช้กับทุกคนเป็นมาตรฐานสากล ส่วนผู้ต้องหาจะเห็นหรือต่อสู้อย่างไรก็แล้วแต่  อย่างไรก็ตาม หากผู้ไม่เกี่ยวข้องนำเสนอข่าวหรือไปยื่นหนังสือที่บิดเบือนความจริงอาจเข้าข่ายกระทำความผิด

ในขณะที่การแถลงข่าวยังไม่เสร็จสิ้น นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ ได้รับการติดต่อจากน้องสาว ซึ่งอยู่กับยายที่บ้านว่า ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ 4 นาย จากกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับเทคโนโลยี นำหมายค้นไปที่บ้าน จากนั้น ได้เข้าตรวจค้นบ้านและยึดเครื่องคอมพิวเตอร์พีซีจำนวน 1 เครื่อง และเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ร่วมกันในบ้านอีก 1 เครื่อง  โดยเจ้าหน้าที่ใช้เวลาเข้าค้นบ้านประมาณ 1 ชั่วโมง และก่อนหน้าที่จะเข้าค้นบ้าน เจ้าหน้าที่ได้เฝ้าอยู่นอกบ้านประมาณครึ่งชั่วโมง โดยแม้นายสิรวิชญ์จะแจ้งเจ้าหน้าที่ว่าให้รอตนและทนายความกลับไปก่อนค่อยดำเนินการ เพราะที่บ้านมีแต่เด็กและคนชรา แต่สุดท้ายเจ้าหน้าที่ก็ตรวจยึดเครื่องคอมพิวเตอร์ไปโดยที่ไม่รอนายสิรวิชญ์กลับมา และเจ้าหน้าที่จะมีความพยายามจะให้ยายของนายสิรวิชญ์ลงชื่อในเอกสาร แต่ยายไม่ยินยอมเซ็น

photo_2016-05-07_18-03-42

นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ ขณะเดินทางกลับมาถึงบ้าน แต่เจ้าหน้าที่ได้เข้าค้นและยึดคอมพิวเตอร์ไปจากบ้านแล้ว

ในฐานะองค์กรให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายซึ่งได้ให้ความช่วยเหลือในคดีนางสาวพัฒน์นรีโดยตรง ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ขอยืนยันว่าถ้อยคำซึ่งเจ้าหน้าที่ทหารได้กล่าวหาว่าผู้ใช้บัญชีเฟซบุ๊ค “Nuengnuch Chankij” กระทำความผิดนั้นมีลักษณะเป็นการสนทนาเพียงฝ่ายเดียวและเป็นการพูดจาสั้นๆ ไม่กี่ประโยค โดย “Nuengnuch Chankij” นั้น ไม่ได้พิมพ์ข้อความแสดงความคิดเห็นใดที่พาดพิงต่อสถาบันกษัตริย์เลย และจบท้ายการสนทนาด้วยคำว่า “จ้า” ซึ่งทำให้พนักงานสอบสวนกล่าวหาว่าการลงท้ายด้วยถ้อยคำดังกล่าวนั้น เป็นยอมรับและเห็นด้วยกับข้อความของผู้ใช้บัญชีเฟสบุ๊คชื่อ “Burin Intin” ซึ่งพิมพ์ข้อความมาก่อนหน้านี้

ส่วนประเด็นเรื่องการเข้าค้นบ้านของนายสิรวิชญ์นั้น ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนเห็นว่าการเข้าค้นดังกล่าวไม่มีการแจ้งต่อนางสาวพัฒน์นรีมาก่อน ทั้งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถกระทำได้ตลอดเวลา เนื่องจากนางสาวพัฒน์นรีอยู่ระหว่างถูกควบคุมตัวไว้ ซึ่งการเข้าค้นดังกล่าวขัดต่อมาตรา 102 วรรคสอง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ที่กำหนดว่า “การค้นที่อยู่หรือสำนักงานของผู้ต้องหา หรือจำเลยซึ่งถูกควบคุม หรือขังอยู่ให้ทำต่อหน้าผู้นั้น ถ้าผู้นั้นไม่สามารถหรือไม่ติดใจมากำกับ จะตั้งผู้แทนหรือให้พยานมากำกับก็ได้ ถ้าผู้แทนหรือพยานไม่มี ให้ ค้นต่อหน้าบุคคลในครอบครัวหรือต่อหน้าพยานดั่งกล่าวในวรรคก่อน”

นอกจากนี้ยังมีข้อสังเกตว่าการยึดเครื่องคอมพิวเตอร์ดังกล่าวไป 2 เครื่องนั้น แม้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะกล่าวอ้างว่าพบข้อความที่ผิดกฎหมายในภายหลังก็ไม่น่าเชื่อถือแต่อย่างใด เนื่องจากการค้นและตรวจยึดคอมพิวเตอร์ดังกล่าวไม่มีการทำสำเนาต่อหน้าผู้ครอบครอง ทำให้การนำพยานหลักฐานจากเครื่องดังกล่าวนั้น ไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือในการต่อสู้คดีแต่อย่างใด

รายงานข่าวก่อนหน้านี้

ทักแชท 112 แล้วไม่ห้ามเป็นพฤติการณ์ร้ายแรง ไม่อนุญาตประกันตัวแม่จ่านิว

X