ยกฟ้อง คดีแชร์เพจ “กูต้องได้ 100 ล้านจากทักษิณแน่ๆ” ชี้ข้อความกระทบภาพลักษณ์ คสช. ไม่กระทบความมั่นคง

วันนี้ (20 ม.ค. 2563) ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก นัดฟังคำพิพากษา คดีแชร์ข้อความจากเพจ “กูต้องได้ 100 ล้านจากทักษิณแน่ๆ” ที่มีพลตรีบุรินทร์ ทองประไพ รับมอบอำนาจจาก คสช. เป็นผู้เข้าแจ้งความกล่าวหา และพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 9 เป็นโจทก์ฟ้อง จำเลยที่ 1 เปรวินท์ (สงวนนามสกุล) และจำเลยที่ 2 คนึงนิตย์ (สงวนนามสกุล)​ ในความผิดตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ 2550 มาตรา 14 โดยศาลพิพากษายกฟ้อง เนื่องจากเห็นว่า ข้อความดังกล่าว กระทบภาพลักษณ์ คสช. เท่านั้น ไม่มีผลต่อความมั่นคงของประเทศ

เวลา 09.30 น. ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 715 จำเลยที่ 1, จำเลยที่ 2 และทนายจำเลยทั้งสองมาศาล เวลา 09.35 น. ศาลขึ้นนั่งบัลลังก์ และอ่านคำพิพากษาของอีกคดีหนึ่งก่อน หลังจากนั้นเวลา 09.38 น. ศาลอ่านคำพิพากษา สรุปความได้ดังนี้

.

ทั้งพยานโจทก์และ คสช. ไม่ได้ตรวจสอบว่าข้อความจริงหรือเท็จอย่างไร

พนักงานอัยการฟ้องว่า เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 61 นายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ได้นำข้อความเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์เฟซบุ๊ก ซึ่งเป็นข้อความอันเป็นเท็จ ข้อความว่า 

ยาเสพติดระบาดหนักในหลายชุมชน จนท.ทหารหลายพื้นที่ ทำงานเป็นคนดูแลความสงบให้แก่พวกขายยา (กล่าวลอยๆ) โดยทำงานร่วมกับตำรวจท้องที่ ลองดูสิ เยอะจริงๆ ยกตัวอย่างแถวบ่อนไก่ก็ตำรวจ-ทหารเป็นหูเป็นตาให้ผู้ค้าเองด้วย ป.ป.ส.มาสืบเองก็คงมีข้อมูลแล้ว แต่ก็ไม่ทำอะไร ประชาชนในชุมชนอยู่กันอย่างหวาดระแวง ลักเล็กขโมยน้อยเกิดขึ้นประจำ นี่หรือคือยุคที่ คสช.อ้างว่าสงบสุข แต่ยาเสพติดกลับทะลักเข้ามาทำลายอนาคตของประเทศ

ทหารนอกแถวมีมากมาย แต่ควบคุมให้มีวินัยไม่ได้

เพราะ คสช.เองก็มีอำนาจด้วยวิธีการที่ผิดๆ และขาดวินัย

น่าสงสัยต่ออีก ใครปล่อยให้ยาเสพติดทะลักเข้ามา 

ประโยชน์ไปตกที่ใคร เงินไปไหน อืม

ข้อความดังกล่าวทำให้ประชาชนทั่วไปคิดว่า การแพร่ระบาดของยาเสพติดเกิดขึ้นจากทหารตำรวจเป็นหูเป็นตาให้ยาเสพติด ซึ่งเป็นความเท็จ เนื่องจากทหารตำรวจมีหน้าที่ดูแลรักษาความสงบ ซึ่งไม่มีความเป็นไปได้ ประกอบกับยังไม่มีรายงาน ภายหลังนายวันเฉลิมหลบหนี

วันเดียวกัน มีผู้ใช้เฟซบุ๊ก คือ จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ได้กดแชร์ข้อความดังกล่าว โดยรู้อยู่แล้วว่า เป็นข้อความเท็จ อันเป็นการเผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ ซึ่งประชาชนทั่วไปที่เป็นสมาชิกเฟซบุ๊กสามารถเข้าถึงโดยอ่านข้อความดังกล่าวได้ โดยประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกต่อประชาชน ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ 2550 มาตรา 14 

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ โดยในชั้นสอบสวน จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ ต่อมาปฏิเสธในชั้นศาล  

ศาลได้พิจารณาแล้วรับฟังได้ว่า

พลตรีบุรินทร์ ทองประไพ ได้รับมอบอำนาจจาก คสช. กล่าวหาว่า จำเลยทั้งสองนำเข้าข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ ตามมาตรา 14(2) ของ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ โดยข้อความเป็นเท็จดังกล่าว ทำให้ คสช. ไม่มีความน่าเชื่อถือ และทำให้เกิดความตื่นตระหนกกับประชาชน ตำรวจพบว่ามีผู้ส่งต่อข้อความดังกล่าวนับร้อยราย แต่ตรวจสอบได้ 5 ราย 

โจทก์มีผู้กล่าวหาเป็นพยานเบิกความว่า ข้อความดังกล่าวเป็นเท็จ เนื่องจากทหารตำรวจเป็นเจ้าหน้าที่ของ คสช. มีหน้าที่รักษาความสงบ ปราบปรามยาเสพติด

พยานประชาชน พันเอกเดชาวุธ ฟุ้งลัดดา กองกฎหมายและสิทธิมนุษยชน สำนักงานบริหารบุคคล กอ.รมน. มาเบิกความว่า เมื่อพยานได้ตรวจสอบ เห็นว่า เจตนาของผู้โพสต์ข้อความและส่งต่อมีผลต่อความมั่นคงของประเทศ แต่ตอบทนายถามค้านว่า ที่ คสช. เข้ายึดอำนาจ พ.ศ. 2557 ก็มีนโยบายปราบปรามยาเสพติดตามคำสั่ง คสช. แต่ระหว่างนั้นก็ยังมียาเสพติดแพร่ระบาด การที่ผู้ดูแลเพจ “กูต้องได้ 100 ล้านจากทักษิณแน่ๆ” นำเข้าข้อความดังกล่าว กล่าวหาเจ้าหน้าที่รักษาความสงบภายใต้ คสช. ทำให้ คสช. ขาดความน่าเชื่อถือ  

ซึ่งพยานโจทก์ทั้งสองก็ไม่เคยตรวจสอบ ย่อมแสดงให้เห็นว่า คสช. ต้องการเผยแพร่ภาพลักษณ์ที่ดี เมื่อปรากฏข้อความดังกล่าว ให้พลตรีบุรินทร์​มาร้องทุกข์กล่าวโทษ แต่ไม่มีหลักฐานชี้แจงว่าจริงหรือเท็จอย่างไร ทั้งปรากฏว่า เพจดังกล่าวได้เตือนให้ทราบถึงภัยยาเสพติดที่กำลังระบาด สอดคล้องกับนโยบายปราบปรามยาเสพติดของ คสช. การที่ประชาชนนำข้อความดังกล่าวมาเผยแพร่ จึงเป็นการแจ้งข่าว ซึ่งเป็นการสื่อสารในยุคเทคโนโลยีสารสนเทศ

.

ข้อความเป็นการนำเสนอข้อมูลข่าวสารทั่วไป กระทบต่อภาพลักษณ์ คสช. แต่ไม่มีผลต่อความมั่นคงของประเทศ

นายทวี สุรฤทธิกุล อาจารย์มหาวิทยาลัย, นายมานพ เชยรส และนายบุญสุข รุ่งเรือง ซึ่งเป็นวินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง พยานอ่านข้อความ อ่านแล้วรู้สึกว่า เจ้าหน้าที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด และอาจเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของรัฐได้ แต่นายทวีตอบที่ทนายจำเลยถามค้านว่า ข้อความวิพากษ์วิจารณ์นี้ ไม่กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ 

ดังนั้น การที่เพจ “กูต้องได้ 100 ล้านจากทักษิณแน่ๆ” นำข้อมูลเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์​ในข้อความดังกล่าว จึงเป็นการนำเสนอข้อมูลข่าวสารทั่วไป เป็นข่าวสารที่รับรู้อยู่ทั่วไป

โดยความผิดตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ 2550 มาตรา 14(2)(5) บทบัญญัติ​ดังกล่าว ผู้กระทำต้องรู้อยู่แล้วว่านำเข้าข้อความเท็จ แต่การนำสืบ ไม่ปรากฏว่าข้อมูลเป็นเท็จหรือไม่ อีกทั้งข้อความก็ไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย​ต่อความมั่นคงของประเทศ มีเพียง คสช. ได้รับความเสียหายเท่านั้น เป็นความเสียหายต่อภาพลักษณ์ ​คสช. ซึ่งไม่มีผลต่อความมั่นคงของประเทศ 

ดังนั้น จึงเป็นการนำเข้าข้อมูลเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ โดยข้อมูลดังกล่าวไม่มีผลต่อความมั่นคงของประเทศ พยานหลักฐาน​ไม่มีน้ำหนัก พิพากษายกฟ้อง.

เหตุแห่งคดีนี้เกิดจาก พลตรีบุรินทร์ ทองประไพ รับมอบอำนาจจาก คสช. ให้เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ดูแลเพจ “กูต้องได้ 100 ล้านจากทักษิณแน่ๆ” และจากการตรวจสอบ ตำรวจพบว่า มีผู้แชร์ส่งต่อข้อความดังกล่าว เป็นร้อยราย 

ในครั้งแรก โจทก์ฟ้องผู้ที่แชร์ข้อความตามฟ้องเป็นจำเลยรวม 9 ราย ต่อมา เมื่อวันที่ 5 พ.ย. 61 จำเลย 5 ราย ให้การรับสารภาพ อีก 4 ราย ยืนยันปฏิเสธ ศาลจึงให้โจทก์ฟ้องจำเลยทั้ง 4 ราย ที่ให้การปฏิเสธเข้ามาใหม่ หลังจากโจทก์ยื่นฟ้องครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 12 พ.ย. 61 จำเลย 2 ราย ขอให้การใหม่เป็นรับสารภาพ ส่วนอีก 2 ราย คือ เปรวินท์ และคนึงนิตย์ ยังยืนยันปฏิเสธ ขอต่อสู้คดี โจทก์จึงยื่นฟ้องทั้งสองเป็นจำเลยอีกครั้งเมื่อวันที่ 16 พ.ย. 61 ศาลได้ตีหลักทรัพย์ประกันตัว 100,000 บาท โดยที่เปรวินท์ ได้วางหลักทรัพย์จำนวนเงิน 20,000 บาท และติดตั้งอุปกรณ์ติดตามตัวหรือ กำไล “EM” ซึ่งเขาต้องใส่ตั้งแต่ถูกดำเนินคดีจนถึงวันนี้

กระบวนการดำเนินคดียืดยาวเกือบ 2 ปี ก่อนมาถึงฟังคำพิพากษาในวันนี้ ตั้งแต่จำเลยมีหมายจับเมื่อเดือน ตุลาคม 61 และเข้าสู่ขั้นตอนการสืบพยานในวันที่ 15-16 ตุลาคม และ 27 พฤศจิกายน 62 เป็นพยานโจทก์ทั้งหมด 9 ปาก และพยานจำเลย 2 ปาก โดยจำเลยทั้งสองอ้างตนเองเป็นพยาน 

หลังจากฟังคำพิพากษา เปรวินท์ดำเนินเรื่องขอถอดอุปกรณ์ติดตามตัว (EM) และได้ถอดในเวลาเกือบบ่ายสอง นับเป็นครั้งแรกในรอบกว่าปี ที่เขาไม่ต้องสวมใสกำไล EM

.

 

ทั้งนี้ ในช่วงกลางปี 2561 นอกจากมีการออกหมายเรียกประชาชนจากการแชร์ข้อความในเพจ “กูต้องได้ 100 ล้านจากทักษิณแน่ ๆ” แล้ว เจ้าหน้าที่ยังได้มีการจับกุมและควบคุมตัวประชาชนจากการแชร์ข้อความวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล คสช. เช่น การแชร์ข้อความจากเพจ “KonThaiUk” ซึ่งจะมีการสืบพยานในวันที่ 4-7 กุมภาพันธ์ 2563 นี้  

.

ไม่ใช่คดีแรก โพสต์วิจารณ์ คสช. ถูกดำเนินคดี สุดท้ายศาลยกฟ้อง 

ก่อนหน้านี้ มีกรณีการดำเนินคดีประชาชนที่โพสต์วิพากษ์วิจารณ์ คสช. หลายคดี ในลักษณะคล้ายๆ กันนี้ โดยในช่วงการจับกุมหรือเรียกมารับทราบข้อกล่าวหา ตำรวจมักจะมีการแถลงข่าวใหญ่โต แต่หลังจากอัยการยื่นฟ้องต่อศาล  ศาลมีคำพิพากษายกฟ้อง เช่น กรณีของคดีรินดา พรศิริพิทักษ์ ถูกฟ้องว่ากระทำความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 จากกรณีเเชร์ข่าวพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เเละภริยา โอนเงินหมื่นล้านไปยังธนาคารในประเทศสิงคโปร์ โดยศาลอาญาพิพากษายกฟ้อง โดยศาลเห็นว่าข้อความดังกล่าวอาจกระทบกระเทือนหรืออาจจะสร้างความเสียหายต่อผู้ถูกพาดพิง แต่ยังไม่มีลักษณะกระทบต่อความมั่นคง และโจทก์ก็ไม่ได้นำสืบว่าข้อความเป็นจริงหรือเท็จอย่างไร 

หรือกรณีนายวัฒนา เมืองสุข อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ซึ่งตกเป็นจำเลย ในความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 จากกรณีโพสต์เฟซบุ๊กวิจารณ์การให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ กรณีทหารไปตามถ่ายรูปยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รวมทั้งวิจารณ์ คสช. ศาลอาญากรุงเทพใต้มีคำพิพากษายกฟ้อง โดยศาลระบุว่า การแสดงความเห็นของจำเลยเป็นการใช้เสรีภาพที่ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญชั่วคราวมาตรา 4 และโจทก์ไม่ได้พิสูจน์ข้อความที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นเท็จแต่อย่างใด พยานหลักฐานโจทก์จึงฟังไม่ขึ้น

ซึ่งแสดงให้เห็นกระบวนการฟ้องคดีเพื่อสกัดกั้นไม่ให้ประชาชนแสดงออกถึงความเห็นทางการเมืองอย่างสันติ ในยุค คสช.  

.

X