เมื่อวันที่ 18 เม.ย. 2568 เวลา 10.00 น. ทีมงานของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน พร้อมกับ Freedom Bridge และ Amnesty International Thailand ได้เดินทางเข้าพบกับ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม, คณะเจ้าหน้าที่จากกรมราชทัณฑ์ และกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เพื่อร่วมกันนำเสนอปัญหาสถานการณ์ผู้ต้องขังทางการเมือง และข้อเสนอเพื่อพัฒนางานราชทัณฑ์ในด้านต่าง ๆ
ในการนำเสนอสภาพปัญหาของคณะผู้แทนภาคประชาสังคม เริ่มต้นด้วยการสะท้อนปัญหากระบวนการพิจารณาคดีในศาล โดยเฉพาะในคดีมาตรา 112 ที่ยังอยู่ในระหว่างสืบพยานของ “อานนท์ นำภา” ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะการสั่งให้มีการพิจารณาคดีลับในคดีที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุม #แฮรี่พอตเตอร์1 และการสั่งห้ามนำข้อมูลในห้องพิจารณาไปเผยแพร่อันมาจากการสั่งพิจารณาคดีลับ ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงการอ่านคำสั่งในคดีละเมิดอำนาจศาลของอานนท์ในห้องเวรชี้ โดยไม่ให้ประชาชนและครอบบครัวเข้าร่วมฟังการอ่านคำสั่ง โดยอ้างเหตุเพื่อความสงบเรียบร้อยในบริเวณศาล
ในการนำเสนอข้อมูลสถานการณ์ของผู้ต้องขังคดีการเมือง และสภาพปัญหาเรือนจำ คณะผู้แทนภาคประชาสังคมได้ทำข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนางานราชทัณฑ์ ใน 3 ประเด็นหลัก ได้แก่
- การปรับปรุงสภาพเรือนจำให้มีมาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศ โดยอ้างอิงการเก็บข้อมูลของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน, Freedom bridge และ Amnesty International Thailand เกี่ยวกับปัญหามาตรฐานการเยี่ยมญาติของผู้ต้องขัง ซึ่งในแต่ละเรือนจำมีกฎระเบียบที่ใช้แตกต่างกัน ตลอดการส่งจดหมาย Domi Mail ที่สามารถใช้งานได้เพียงบางเรือนจำเท่านั้น
- การจัดตั้งเรือนจำชั่วคราวสำหรับผู้ต้องขังทางการเมือง โดยตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา เริ่มย้ายผู้ตัวผู้ต้องขังในคดีทางการเมืองจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ไปยังเรือนจำอื่น ๆ ทั่วประเทศ พร้อมการย้ายผู้ต้องขังทั่วไปด้วย โดยการโยกย้ายครั้งนี้ ไม่ใช่เพียงการย้ายผู้ต้องขังที่คดีถึงที่สุดแล้ว แต่มีการย้ายผู้ต้องขังที่อยู่ระหว่างอุทธรณ์หรือฎีกาด้วย ซึ่งทางราชทัณฑ์เคยระบุว่าเพื่อลดความแออัดในเรือนจำ
สืบเนื่องมาจาก ในวันที่ 4 มี.ค. 2568 เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ออกประกาศชี้แจง เรื่องการย้ายผู้ต้องขัง ซึ่งเป็นไปตามนโยบายกรมราชทัณฑ์ ได้กำหนดให้เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เป็นเรือนจำสำหรับรองรับควบคุมผู้ต้องขังระหว่างพิจารณาคดี (Hub) ทุกประเภท
คณะผู้แทนภาคประชาสังคม ได้แสดงความกังวลในการบังคับย้ายเรือนจำ ไม่เพียงในกลุ่มผู้ต้องขังทางการเมืองที่อยู่ในระหว่างพิจารณาคดี ซึ่งถูกย้ายออกไปเรือนจำต่างจังหวัด ซึ่งสร้างความลำบากให้ทนายความและผู้ต้องขังที่ต้องการปรึกษาแนวทางการต่อสู้คดี และข้อกังวลถึงแนวทางการปฏิบัติกับผู้ต้องขังที่อยู่ในระหว่างพิจารณาคดีกับผู้ต้องขังเด็ดขาดอีกด้วย - การพิจารณาพักโทษผู้ต้องขังคดีการเมือง โดยเมื่อวันที่ 9 เม.ย.68 ที่ผ่านมา กรมราชทัณฑ์ได้เผยแพร่ประกาศกรมราชทัณฑ์ เรื่อง กำหนดคุณสมบัติเฉพาะ ลักษณะต้องห้าม และวิธีการคุมขังผู้ต้องขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ. 2566 หรือการ “คุมขังนอกเรือนจำ” ซึ่งทางคณะผู้แทนภาคประชาสังคมได้ทำทำข้อเสนอแนะว่าหลักเกณฑ์ดังกล่าว หากมีการพิจารณาก็ขอให้นับรวมกลุ่มผู้ต้องขังคดีการเมืองเข้าไปด้วย
ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้รับฟังความคิดเห็น และข้อเสนอแนะของคณะผู้แทนภาคประชาสังคม และขอบคุณคณะผู้แทนฯ ที่มาร่วมสะท้อนปัญหา และให้ข้อมูลจากการปฏิบัติงานขององค์กร โดยมอบหมายให้กรมราชทัณฑ์ และกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ นำข้อเสนอแนะของภาคประชาสังคมไปศึกษาและดำเนินการเพิ่มเติม โดยหากมีข้อมูลที่ต้องการเพิ่มเติมทางกระทรวงยุติธรรมจะเชิญหารือและปรับปรุงงานร่วมกันต่อไป