วานนี้ (14 ม.ค. 2568) “พงษ์” (นามสมมติ) หนึ่งในจำเลยคดีอั้งยี่ กรณีประชาชนและนักกิจกรรมกลุ่ม We Volunteer (WeVo) รวม 45 คน ถูกจับกุมที่บริเวณห้างเมเจอร์รัชโยธิน เมื่อวันที่ 6 มี.ค. 2564 ได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ แล้ว หลังถูกขังระหว่างพิจารณาคดีเป็นระยะเวลา 9 วัน
.
กรณีนี้ มีเหตุสืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 24 ธ.ค. 2567 ศาลอาญานัดหมายฟังคำพิพากษาในคดีนี้ แต่พงษ์มีเหตุจำเป็นไม่สามารถเดินทางมาฟังคำพิพากษาได้ จึงขออนุญาตเลื่อนนัด แต่ศาลไม่อนุญาตและให้ออกหมายจับ รวมทั้งไม่อนุญาตให้ประกันเมื่อเขาเดินทางไปรายงานตัวในวันที่ 6 ม.ค. 2568 ระบุคำสั่งโดยสรุปว่า จำเลยมีพฤติการณ์หลบหนี จงใจไม่มาศาล ทำให้พงษ์ถูกนำตัวไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ตั้งแต่วันนั้นเรื่อยมา
วันถัดมา (7 ม.ค. 2568) ทนายความได้ยื่นขอประกันพงษ์เป็นครั้งที่ 2 ศาลมีคำสั่งยกคำร้องอีกครั้ง ระบุว่า “พิเคราะห์แล้ว ศาลนี้เคยมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว โดยระบุเหตุผลไว้ชัดแจ้งแล้ว กรณีไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลย” ลงนามคำสั่งทั้งสองครั้งโดย วิพัศวัชร พึ่งชลารักษ์
วันที่ 8 ม.ค. 2568 ทนายความได้ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่อนุญาตให้ประกันพงษ์ต่อศาลอุทธรณ์ ต่อมาวันที่ 11 ม.ค. ศาลอาญาอ่านคำสั่งศาลอุทธรณ์ ลงวันที่ 9 ม.ค. 2568 อนุญาตให้ประกันพงษ์ ระบุคำสั่งว่า “พิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหาและพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยในระหว่างพิจารณา ทั้งนี้ เพื่อป้องกันมิให้จำเลยหลบหนี จึงเห็นสมควรให้จำเลยวางหลักประกัน 45,000 บาท พร้อมติดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับตรวจสอบหรือจำกัดการเดินทางของจำเลย กรณีผิดสัญญาประกันให้ปรับ 70,000 บาท ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาหลักประกันแล้วดำเนินการต่อไป”
อย่างไรก็ตาม นายประกันอาสาของกองทุนราษฎรประสงค์ได้รับแจ้งในเวลาต่อมาว่า ศาลมีนโยบายให้ศาลชั้นต้นสั่งให้ประกันก่อนในวันจันทร์ที่ 13 ม.ค. จากนั้นจึงจะเบิกตัวจำเลยมาติด EM ในวันที่ 14 ม.ค. ก่อนปล่อยตัว ทำให้พงษ์ได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำในช่วงเย็นวานนี้ (14 ม.ค. 2568) หลังจากถูกคุมขังมาทั้งสิ้น 9 วัน โดยศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาคดีนี้อีกครั้งในวันที่ 27 ม.ค. 2568 เวลา 09.00 น.
.
บันทึกเยี่ยมขณะ “พงษ์” ถูกคุมขังในเรือนจำ
“คืนแรกในเรือนจำไม่ค่อยหลับ อากาศค่อนข้างหนาวด้วย ได้ผ้าห่มมา 3 ผืน เป็นหมอน ผ้าปูรองนอน แล้วก็ผ้าห่ม ส่วนอุปกรณ์อื่น ๆ ได้รับแจกช้อน แก้ว สบู่ และยาสีฟัน แต่ไม่มีแปรงสีฟันให้ เจ้าหน้าที่บอกว่างบหมด ประมาณ 09.30 น. ก็มีเจ้าหน้าที่พาลงมาตัดผม ตอนเช้ากินข้าวหลวง อาหารเป็นแกงฟักน้ำใส ๆ กินได้ไม่เยอะ ไม่ค่อยหิว ส่วนมื้อกลางวันเป็นข้าวต้ม ผมไม่กินเลย ห้องที่กักตัวมีอยู่ด้วยกัน 8 คน เข้ามาเมื่อวานพร้อมกัน”
พงษ์เล่าว่า การเข้ามาอยู่ในนี้เป็นเรื่องกะทันหันมาก ไม่คิดเลยว่าการขอเลื่อนฟังคำพิพากษาแล้วศาลไม่ให้ต้องมาติดคุก มันมีเรื่องที่ต้องจัดการเยอะ แล้วยิ่งพอศาลมีคำสั่งยกคำร้องขอประกัน มันเหมือนว่าจะต้องอยู่ยาวเลย เขารู้สึกเครียดและกังวล
“อาจเพราะตอนนี้อยู่ในระหว่างการกักตัวเลยอยู่แต่ในห้อง ยังไม่ได้เห็นสภาพแวดล้อม การอยู่บนห้องที่ต้องกักตัวยังไม่ค่อยได้คุยกับใคร ทำให้บางครั้งมีความคิดฟุ้งซ่าน มันคิดไปเรื่อย ๆ คิดว่าถ้าต้องอยู่ยาว หรือถ้าศาลมีคำพิพากษาว่าต้องติดคุก มันก็เกิดคำถามเหล่านี้ขึ้นกับตัวเอง แต่ในช่วงที่ความคิดมันฟุ้งไปไกล จะพยายามตั้งสติกลับคืนมา พยายามมองว่า ถ้าต้องอยู่ข้างในนี้ ไม่ได้ออกไปจะต้องเผชิญอะไรบ้าง
“ที่ยังพอมีสติขึ้นมาได้อาจจะเพราะเรียนทางดนตรีมา มันทำให้รู้จักการจัดการความเครียดหรือความกดดัน และในช่วงชีวิตหนึ่งเคยได้บวชสามเณรภาคฤดูร้อนที่วัดอัมพวัน ตอนนั้นได้มีโอกาสฝึกกรรมฐาน รู้สึกว่าสิ่งที่เคยฝึกมาก่อนกลายเป็นต้นทุนที่ทำให้ผมสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตรงนี้ได้”
พงษ์เล่าต่ออีกว่า วันที่ลงไปตัดผมข้างล่าง มีเจ้าหน้าที่มาถามเกี่ยวกับประวัติส่วนตัว ประวัติการทำงาน แล้วพอผมเล่าว่าจบทางด้านดนตรีสากล ก็มีเพื่อนผู้ต้องขังเข้ามาคุยบอกว่า ตอนนี้เรือนจำกำลังตั้งวงอยู่ อยากจะชวนเข้าร่วมวงด้วย หลังจากนั้นก็คุยกันเรื่องดนตรี มันก็ทำให้ได้คุยเรื่องอื่น ๆ ที่อยู่ข้างนอก ทำให้รู้สึกว่ามีกำลังใจ มีความอดทนที่จะเผชิญกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ต่อมา เมื่อวันที่ 13 ม.ค. ทนายเข้าเยี่ยมและแจ้งข่าวว่า เขาได้รับการประกันตัวแล้ว พงษ์ยิ้มกว้าง แววตาดีใจ ใบหน้าเปื้อนยิ้มแทบจะตลอดเวลา “ผมไม่รู้ข่าวเรื่องการประกันตัวเลย ก็พยายามทำใจ แม้เราจะไม่ผิดเรื่องคดี แต่เราผิดตรงที่ศาลสั่งให้มาตามนัดแล้วไม่มา ก็ทำใจอยู่จนถึงวันฟังคำพิพากษา ผมพยายามไม่เรียกร้องอะไรจะได้รู้สึกปล่อยวางได้ ผมเริ่มหาหนังสือนิยายอ่าน ไปได้เรื่องลูกอีสาน ของคำพูน บุญทวี มา คิดว่าวันนี้ไม่มีอะไรทำน่าจะอ่านจบ เพราะเล่มไม่หนามาก จริงๆ ผมนั่งสมาธิ เมื่อเช้าก็มีความรู้สึกว่าจะได้รับข่าวดี ผมรู้สึกแบบนั้นจริง ๆ” พงษ์เล่าให้ทนายฟัง
.
อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง