บรุ๊คส์แห่งคุกชอว์แชงค์ และดอกไม้มิตรภาพที่เบ่งบานในใจ “วารุณี” เพราะบางครั้งคุกคือ ‘เซฟโซน’ ของใครบางคน

เมื่อวันที่ 12 ก.ค. 2567 ทนายความได้เดินทางไปที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์เพื่อเข้าเยี่ยม “น้ำ” วารุณี ซึ่งถูกคุมขังในคดี ม.112 มานานกว่า 1 ปี จากการโพสต์ภาพตัดต่อพระแก้วมรกตสวมชุดราตรีแบรนด์ SIRIVANNAVARI ขณะรัชกาลที่ 10 เปลี่ยนเครื่องทรง ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 3 ปี แต่ให้ลดโทษเหลือ 1 ปี 6 เดือน

สำหรับคดีนี้วารุณีต้องการยุติการสู้คดี เพราะถูกคุมขังจนใกล้ครบโทษแล้ว วารุณีจึงตัดสินใจให้ทนายความถอนอุทธรณ์คำพิพากษาเพื่อให้คดีถึงที่สุดไป โดยปัจจุบันยังอยู่ระหว่างรอฟังคำสั่งว่าศาลจะอนุญาตให้ถอนอุทธรณ์คำพิพากษาที่ยื่นไปหรือไม่

หากนับตามโทษตามคำพิพากษา ตอนนี้เหลือเวลาอีกไม่ถึง 6 เดือนแล้ว วารุณีจึงจะได้รับอิสรภาพอีกครั้ง 

1 ปีในเรือนจำที่ผ่านมา วารุณีเผชิญความสิ้นหวังในสิทธิประกันตัว ความไร้อิสรภาพ ช่วงหนึ่งเธอฮึดสู้อดอาหาร และน้ำประท้วงอยู่นาน 46 วันหรือกว่าเดือนครึ่ง 

นอกจากการเฝ้ารอได้พบหน้าคนรัก ครอบครัว และได้ใช้ชีวิตของตัวเองอย่างเป็นอิสระอีกครั้ง ‘อะไร’ คือสิ่งที่ยังหล่อเลี้ยงชีวิต ความหวัง และพลังใจในฐานะมนุษย์คนหนึ่งให้ยังสามารถมีแรงใช้ชีวิตต่อไปได้หลังกำแพงสูงที่โอบล้อมรอบทั้ง 4 ด้าน ในช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดดูเหมือนว่าเธอจะได้พบและเรียนรู้บางอย่างในชีวิตที่มีความหมาย ชวนอ่านข้อเขียนของวารุณีกับเรื่องราวของบรรดาดอกไม้แห่งมิตรภาพที่กำลังเบ่งบานในใจของเธอ

ดอกไม้ที่เบ่งบานในใจฉัน

หลังจากอดอาหารได้ 7 วัน เราถูกย้ายมาที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์และอยู่ที่นี่มาโดยตลอด เราได้เห็นนักโทษที่ต้องตายในสถานที่แห่งนี้ พวกเขายังคงเป็นนักโทษจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต เราได้เห็นภาพของญาติที่ร่ำไห้เสียใจ เด็กผู้หญิงคนนั้นล้มลงไปร้องไห้กับพื้นข้าง ๆ เตียงที่มีศพของแม่ตัวเองนอนอยู่ มันทำให้เราได้คิดย้อนกลับมาที่ตัวเราเอง ถ้าหากว่าเราอดอาหารจนตายแล้วจะเป็นยังไง มันคงมีแค่ผลเสียกับผลเสียเท่านั้น คนในครอบครัวของเราคงต้องตกอยู่ในสภาพแบบเดียวกันกับญาติคนตายเหล่านี้ การจากไปของเราอาจส่งผลให้ใครสักคนในครอบครัวเป็นโรคซึมเศร้าก็ได้ การที่เราติดคุกมันก็เหมือนเราได้สร้างบาดแผลให้คนที่เรารักอยู่แล้ว การอดอาหารจนตายคงเหมือนการเอามีดกรีดไปซ้ำ ๆ ที่รอยแผลเดิม ซึ่งเราเองไม่อยากให้คนที่เรารักต้องอยู่ในสภาพตายทั้งเป็นแบบนี้ 

เราจึงยุติการอดอาหารลง การได้อยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนี้คงเพราะอาการ Bipolar ที่ดูเหมือนจะไม่คงที่สักทีของเรา เราจึงได้รับการรักษาอยู่ที่นี่แหละ ได้พบจิตแพทย์ดูแลอย่างใกล้ชิดที่โรงพยาบาล ดีกว่าในแดนที่เรือนจำมาก ทั้งอาหาร การนอนหลับ การเข้าถึงการรักษา ผู้คนที่นี่ดีกับเรามาก ทั้งหมอ พยาบาล ผู้คุม และยิ่งไปกว่านั้นคือผู้อำนวยการโรงพยาบาลที่คอยสอบถามเรื่องน้ำหนักตัวเรามาตลอด คงเพราะน้ำหนักตัวเราต่ำกว่าเกณฑ์ไปมาก 

ที่นี่เราได้พบกับเพื่อนผู้ต้องขังมากมาย ทั้งจากเรือนจำเดียวกันและต่างเรือนจำ มาด้วยหลายโรคแตกต่างกันไป เช่น โรคไต จิตเวช มะเร็ง HIV วัณโรค ฯลฯ และที่นี่เองที่เราได้เจอคนที่เปลี่ยนความคิดเราไปตลอดกาล

เพื่อนคนนี้มาจากต่างเรือนจำ เธอมาด้วยอาการซีดจนต้องให้เลือด 

เธอได้สอนให้เราปรับตัวผ่านคำพูดที่ว่า 

“อยู่ในนี้ไม่ต้องคิดอะไรมากมาย 

คิดแค่ว่าวันนี้จะกินอะไร 

พรุ่งนี้จะซื้ออะไรมาทำกินก็พอ …” 

คำพูดง่าย ๆ ก็ถูกพิสูจน์ได้ว่าจริง ผ่านการที่เพื่อน ๆ เริ่มทำอาหารแปลก ๆ เท่าที่โรงพยาบาลจะมีขายให้เรากิน เช่น ‘ลาบปลากระป๋อง’ ที่ทำมาจากปลากระป๋องกับมาม่าดิบบด กินกับขนมตะวัน รสชาติแปลกใหม่แต่ไม่ได้แย่อย่างที่คิด หรือจะเป็น ‘ข้าวเหนียวมูล’ ที่ทำจากข้าวเหนียวและครีมเทียมคอฟฟี่เมต เติมน้ำร้อนผสมน้ำตาลกับเกลือ รสชาติเค็ม หวาน มัน กินกับมะม่วงสุก อร่อยไม่น้อยหน้าข้าวเหนียวมูลข้างนอกกำแพงเลยและการนำกาแฟทรีอินวันแบบซองโอวัลติน ครีมเทียมคอฟฟี่เมต ถั่วลิสง นมข้นหวาน ทุบถั่วให้ละเอียด ผสมกันในถุง ปั้นให้เป็นก้อนแล้วคลุกกับครีมเทียมอีกครั้งเพื่อไม่ให้ละลาย กลายเป็น ‘ลูกอมถั่วรสกาแฟ’ แสนอร่อย 

อาหารหลายต่อหลายอย่างถูกดัดแปลงขึ้นตามความจำกัดของวัตถุดิบ สะท้อนให้เห็นถึงการปรับตัวเพื่อเอาตัวรอดของมนุษย์ และเมื่อเราเริ่มเปิดใจให้กับอาหารเหล่านี้ การปรับเปลี่ยนความคิดและการปรับตัวก็เกิดขึ้น สิ่งที่ว่าแย่ก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิดขนาดนั้น

ตอนนี้เราอยู่โรงพยาบาลคุกได้อย่างไม่ลำบาก ต่อให้จะพูดว่า ‘สุข’ ก็ไม่ถึงกับเต็มร้อย แต่เมื่อเทียบกับความทุกข์เมื่อตอนแรกที่เข้ามา ความทุกข์นั้นลดน้อยลงไปมาก เพื่อนผู้ต้องขังมีมากมายหลายรูปแบบ ต่างพ่อ ต่างแม่ ต่างฐานะ ต่างชนชั้น ต้องเจอกัน ต้องอยู่ในที่เดียวกัน การสร้างมิตรภาพก็ได้เกิดขึ้น 

เราได้เห็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของผู้ต้องขังโทษ 25 ปี

หรือจะเป็นเสียงเพลงที่ถูกขับกล่อมด้วยผู้ต้องขังวัย 61 ปี โทษ 33 ปี

และคราบน้ำตาของผู้ต้องขังอายุ 21 ปีที่เพิ่งถูกจับเข้ามา 

เป็นที่ที่รวมไว้ซึ่งทุกรสชาติของชีวิต 

ภาพจากภาพยนตร์เรื่อง ชอว์แชงค์

‘มิตรภาพ’ ที่เราได้พบในนี้ไม่ได้แตกต่างจากมิตรภาพในภาพยนตร์เรื่อง ชอว์แชงค์ (The Shawshank Redemption)

ผู้ต้องขังวัย 78 ปีคนหนึ่งที่ไม่เคยแต่งงาน ไม่มีครอบครัว เธอร้องไห้ทุกครั้งที่มีคนพูดว่า “เธอจะได้กลับบ้านในเร็ววันนี้” เพราะนั่น ‘ไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการ’ เราเปรียบเธอเป็น Brooks Hatlen แห่งคุกชอว์แชงค์ เพราะกว่าครึ่งชีวิตของเธออยู่ในคุก เธอไม่อยากออกไป และตายอย่างโดดเดี่ยวข้างนอก 

โทษของเธอ คือ 250 ปี เธอบอกว่าในนี้มีเพื่อนเยอะและเธอกลัวความโดดเดี่ยว เราเองที่โทษ 1 ปี 6 เดือนที่ได้เห็นรอยยิ้มของนักโทษที่ต้องโทษสูง ๆ ทำให้เราสัมผัสได้ถึงความเข้มแข็งอีกครั้ง 

ติดคุกไม่ต้องทุกข์อย่างเดียว

เราสามารถมีเพื่อน และมีเสียงหัวเราะได้ไม่ต่างกับอยู่ข้างนอก

สิ่งที่เล่ามานี้เราเพียงอยากสะท้อนให้เห็นถึงความอดทน และการปรับตัวของคนใน ‘โลกสี่เหลี่ยม’ ใบนี้ และบางครั้งคุกก็เป็น ‘เซฟโซน’ ของบางคนด้วยซ้ำไป ศาลทำได้แค่โยนเราเข้ามาในเส้นทางแสนทุรกันดาร เต็มไปด้วยหลุมโคลนที่ยากต่อการก้าวเดิน 

แต่สิ่งที่ศาลไม่เคยรู้ คือ สองข้างทางมี ‘ดอกไม้’ เบ่งบานอยู่ ดอกไม้แห่งมิตรภาพ สีสันสดใส ส่งกลิ่นหอม ไม่เพียงแต่เป็นคุณค่าของมิตรภาพของคนที่เรารออยู่ข้างนอก แต่ยังเป็นคุณค่าของมิตรภาพจากเพื่อน ๆ ผู้ต้องขังด้วยกัน 

เราเลือกที่จะสะท้อนมุมที่ดีที่สุดของคุกแห่งนี้ เลือกที่จะสร้างอารมณ์ขันเพื่อแลกรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ เราเป็นกำลังใจให้กันและกัน เราแลกเปลี่ยนประสบการณ์ทั้งดีและร้ายให้กันฟัง เรายินดีทุกครั้งที่ได้เห็นเพื่อนเพื่อนถูกปล่อยตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่แปลกมาก เพราะคำว่า ‘อิจฉา’ ไม่เคยเข้าหยุดพื้นที่ในความคิดเลยสักครั้ง ถึงแม้เราเองอยากจะกลับบ้านเหมือนกัน

นี่คงจะเรียกได้ว่าเป็นการเข้าถึง “ความหวังดีแบบไม่มีเงื่อนไข” ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดีที่สุดที่เราสามารถจับต้องสิ่งนี้ได้ เพราะก่อนหน้านี้เราเข้าใจว่ามันเป็นเพียงมายาคติเท่านั้น จากนี้ต่อไปเราเพียงนับถอยหลังรอวันกลับบ้าน แต่เราจะไม่ลืมสิ่งที่ได้เรียนรู้ สิ่งที่ได้รับจากประสบการณ์นี้เลย ขอบคุณดอกไม้สองข้างทางที่เบ่งบานสดใสสวยงามให้เราได้ชื่นชม และเก็บไว้ในความทรงจำตลอดไป

X