เท้าเปล่าของพ่อ การพูดความจริง และเสียงเพลงด้วยรักและผูกพัน: บันทึกการต่อสู้ของ “เก็ท” จากห้องพิจารณาคดี ม.112

ระหว่างวันที่ 26-28 มิ.ย และ 2-3 ก.ค. 2567 ณ ห้องพิจารณาคดี 707 ของศาลอาญา มีนัดสืบพยานคดีมาตรา 112 และ พ.ร.บ.เครื่องขยายเสียง ของ “เก็ท” โสภณ สุรฤทธิ์ธำรง กรณีปราศรัยในกิจกรรมวันแรงงานสากล ที่หน้าทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 1 พ.ค. 2565 โดยมีเนื้อหาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการจัดการวัคซีนโควิด-2019 และการใช้งบประมาณของสถาบันกษัตริย์

_________________________________________________________________

วันที่ 26 มิ.ย. 2567 วันแรกของการสืบพยาน

เก็ทถูกนำตัวเดินเข้ามาที่ห้องพิจารณาคดีพร้อมกับสองเท้าเปล่า ซึ่งถูกล่ามไว้ด้วยกุญแจข้อเท้าอย่างแน่นหนา พร้อมกับมีเจ้าหน้าที่เรือนจำสองคนคอยประกบตัวของเก็ทอยู่ตลอดเวลา 

เมื่อมาถึงหน้าห้องพิจารณา พ่อของเก็ทที่เดินทางมาศาลตั้งแต่เช้าตรู่กำลังรอคอยอยู่ สายตาของคนเป็นพ่อที่มองไปยังลูกผู้ถูกล่ามโซ่ คงไม่มีใครจะสามารถเข้าใจความรู้สึกของเขาได้ พ่อของเก็ทยิ้ม พลางบอกลูกให้เข้มแข็ง ก่อนถอดรองเท้าของตัวเองบ้าง แล้วใช้เท้าอันเปล่าเปลือยเดินไปรับเก็ทที่หน้าห้องพิจารณา และพ่อก็ถอดรองเท้าอยู่เช่นนั้นตลอดการพิจารณาคดี

“พ่ออยากเดินเท้าเปล่าเป็นเพื่อนลูก” คือประโยคที่เก็ทได้คำตอบจากพ่อ 

ในห้องพิจารณาที่เต็มไปด้วยนักกิจกรรมและประชาชนที่มาติดตามฟังการพิจารณา ไม่ต้องอธิบายก็พอทราบได้ว่าหลายคนเป็นห่วงชายหนุ่มในชุดนักโทษคนนี้ ท่ามกลางความคับข้องใจกับสถานการณ์ที่เขาต้องเผชิญ

เก็ทแถลงต่อศาลว่าจะขอถือรูป “บุ้ง เนติพร” นักกิจกรรมกลุ่มทะลุวังที่เพิ่งเสียชีวิตจากการอดอาหารไปในเดือนก่อนหน้า เพื่อร่วมแสดงออกว่าข้อเรียกร้องของเธอที่ต้องการให้มีการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมนั้นยังไม่เกิดขึ้น และกระบวนการยุติธรรมก็เหมือนจะยังไม่ให้คุณค่ากับข้อเรียกร้องนั้น แม้เธอจะเรียกร้องมันด้วยชีวิตก็ตาม ด้วยเหตุนี้ประชาชนเกือบทุกคนที่มาให้กำลังใจเก็ทในห้องพิจารณา ก็ได้ร่วมถือรูปเนติพรไปตลอดการพิจารณาคดีด้วยเช่นกัน

การสืบพยานเริ่มต้นขึ้น พยานปากแรก ร.ต.อ.ทองธาดา การะเกด ผู้กล่าวหาในคดีนี้ เบิกความว่าตนจำเป็นจะต้องเปิดคลิปวิดีโอที่เก็ทปราศรัยในวันเกิดเหตุ เพื่อให้คู่ความสามารถตรวจดูพยานหลักฐานร่วมกัน เก็ทจึงแถลงต่อศาลขอให้เปลี่ยนห้องพิจารณาคดีปกติ ให้เป็นห้องที่สามารถเปิดคลิปวิดีโอได้ ทั้งนี้ก็เพื่อให้ประชาชนคนอื่น ๆ ได้ร่วมเป็นพยานรับรู้ถึงสิ่งที่พวกเขาต่อสู้อยู่ ไม่ใช่แค่ให้คู่ความได้รับรู้

ผู้พิพากษามีท่าทีหนักใจ แต่ไม่ได้คัดค้านสิ่งใด จากนั้นจึงตัดสินใจให้เปลี่ยนห้องพิจารณาคดี จากห้องหมายเลข 707 เป็นหมายเลข 709 ซึ่งติดตั้งจอภาพโทรทัศน์ให้ทุกคนภายในห้องสามารถเห็นถึงคลิปวิดีโอการปราศรัยของเก็ทได้ 

หลังย้ายห้องพิจารณา เจ้าหน้าที่ได้จัดเตรียมจอโทรทัศน์ให้เชื่อมต่อกับโน้ตบุ๊กเพื่อเปิดคลิปวิดีโอ ก่อนแสงไฟในจอได้เริ่มกระพริบถี่ขึ้น หนึ่งเฟรม สองเฟรม สามเฟรม สี่เฟรม และแล้ว การปราศรัยของเก็ท โสภณ ถึงข้อเท็จจริงของประเทศนี้ ก็ดังก้องกังวานอีกครั้งในห้องพิจารณา 

ภายหลังสืบพยานปากแรกเสร็จสิ้นแล้ว อัยการโจทก์นำพยานคนที่สองเข้าเบิกความ

พลเรือตรีทองย้อย แสงสินชัย พยานผู้เชี่ยวชาญด้านภาษา ซึ่งมีภูมิลำเนาอาศัยอยู่ที่จังหวัดราชบุรี แต่เขาไม่สะดวกเดินทางมาศาลในวันนี้ ศาลจึงอนุญาตให้สืบพยานโดยระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ท่ามกลางการคัดค้านของเก็ท ซึ่งแสดงความปรารถนาอย่างแรงกล้า ว่าเขาไม่ต้องการให้พยานคนใดมาตัดสินชะตากรรมชีวิตเขาจากหน้าจอโทรทัศน์ เขาควรจะได้เห็นคนเหล่านั้น จ้องเข้าไปในสายตาเหล่านั้น ท่ามกลางคำเบิกความที่จะผูกพันเขาไปตลอดชีวิต

“การที่ให้พยานโจทก์เบิกความแบบออนไลน์ ผมรู้สึกว่ามันเป็นการหมิ่นเกียรติของศาลในพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์” เก็ทตั้งคำถามพลางบรรยายถึงความรู้สึกของเขา

“เพราะถ้าหากเป็นอย่างนี้ต่อไป พยานโจทก์ พยานจำเลย หรือแม้แต่ตัวจำเลยเองก็สามารถคอนเฟอเรนซ์ได้ เพราะฉะนั้นผมจึงไม่เห็นด้วยที่จะให้พยานโจทก์มาคอนเฟอเรนซ์ เพราะว่าถ้าเกิดใช้ตรรกะเดียวกัน ครั้งหน้าที่ท่านจะเบิกตัวผม ผมก็อ้างได้ว่าผมก็ขอคอนเฟอเรนซ์แบบที่พยานโจทก์ปากนี้ทำได้หรือครับ”

ศาลปรึกษากันเล็กน้อย และหัวหน้าองค์คณะผู้พิพากษา ผู้นั่งพิจารณาคดีอยู่ตรงกลางขององค์คณะทั้งสาม กล่าวอธิบายคำคัดค้านของเก็ทด้วยหลักกฎหมายที่ที่บัญญัติไว้อย่างเคร่งครัด

“หลักในการสืบพยานปกติจะต้องเปิดเผยต่อหน้าจำเลยในห้องพิจารณาอยู่แล้ว ซึ่งมีเขียนไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความทางอาญา ทั้งนี้ ไม่ว่าพยานโจทก์หรือพยานจำเลยหากอยู่ในที่ ๆ ไม่สะดวกในการเดินทางมาศาลได้ สมัยก่อนเราจะส่งประเด็น เอาสำนวนทั้งหมดส่งประเด็นไปสืบที่พยานต่างจังหวัด เป็นวิธีการปฏิบัติมานานแล้ว ภายหลังจากเทคโนโลยีเจริญแล้ว การที่เอาสำนวนไปสืบพยานที่ศาลต่างจังหวัด มันไม่สะดวก ก็เลยมีการแก้กฎหมายว่าในการสืบพยานประเด็น สามารถสืบโดยใช้วิธีผ่านทางจอภาพได้ ซึ่งสามารถทำได้ แต่ต้องมีเหตุอันสมควร

“ตรงนี้เป็นกฎหมายที่สามารถทำได้ ไม่ได้ทำให้จำเลยเสื่อมเสียสิทธิแต่อย่างใด ถ้าส่วนไหนที่สืบไปแล้วเห็นว่าเสื่อมเสียสิทธิของจำเลย จำเลยไม่ได้รับความเป็นธรรม ศาลก็มีอำนาจที่จะเรียกพยานมาเบิกความที่ศาลได้”

แต่เก็ทไม่พึงพอใจ เขาขอยืนยันขอความเมตตาของศาล ในฐานะผู้มีส่วนได้เสียมากที่สุดในห้องพิจารณาคดีนี้ เขาไม่อาจยอมรับการตัดสินจากคนที่แม้แต่จะเดินทางมาศาลยังไม่สามารถกระทำได้ อาจเป็นเพราะคดีนี้ไม่ใช่คดีปกติ 

“ถ้าอย่างนั้นผมขอความเมตตาและนิติธรรมจากท่าน ในฐานะตุลาการได้หรือไม่ คดีอย่างนี้ถ้าผมแพ้คดี ผมก็ต้องติดคุกหลายปี แต่พยานโจทก์กลับทำได้อย่างง่ายดายคือมาวิดีโอมาคอนเฟอเรนซ์ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ในคดีของคุณทานตะวันและคุณแบมเขาก็เพิ่งเดินทางมาจากราชบุรีมาให้การที่ศาลแห่งนี้

“ผมอยากให้รักษาความศักดิ์สิทธิ์ของศาลแห่งนี้ไว้ว่า ถ้าหากผมแพ้คดี ผมก็ต้องติดคุกหลายปี ส่วนพยานโจทก์ผมก็อยากจะให้ท่านให้เกียรติศาลแห่งนี้ และก็เห็นใจผมด้วยว่าสิ่งที่ท่านกำลังจะเอื้อนเอ่ยอะไรออกไป อาจจะทำให้ชีวิตของคน ๆ หนึ่งติดคุกหลายปี อาจจะส่งผลเป็นประวัติศาสตร์ต่อกระบวนการยุติธรรม เพราะฉะนั้นท่านช่วยมาที่ศาลยุติธรรมแห่งนี้ได้หรือไม่ ไม่อย่างนั้นใคร ๆ ก็อ้างได้ว่าผมขอคอนเฟอเรนซ์ได้ไหมครับ บางคนก็แจ้ง 112 คนนู้นจากต่างจังหวัด และก็ให้การจากต่างจังหวัด ขณะที่จำเลยที่ถูกกล่าวหาต้องมาขึ้นศาลที่นี่อย่างนี้หรือ อย่างนี้มันก็ไม่ชอบธรรม

“ผมติดใจว่าในเมื่อเบิกพยานโจทก์-พยานจำเลยคนอื่นมาได้ เบิกตัวจำเลยก็เบิกมาได้ ซึ่งเอาจริง ๆ แล้วเนี่ย ถ้าอ้างเรื่องสุขภาพหรือความสูงอายุ ผมเชื่อว่าคนในห้องนี้ไม่ใช่คนหนุ่มสาว แต่ก็ยังบากบั่นมาศาลได้ และฝั่งที่เห็นต่างกับผม ก็ยังมาที่ศาลได้ ผมมองว่าการที่พยานโจทก์มาคอนเฟอเรนซ์นั้น ไม่ได้ให้เกียรติ ให้ศักดิ์ศรีกับศาลยุติธรรมแห่งนี้เลยครับ”

แม้เก็ทพยายามยืนยันเพียงใด ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของศาล เพราะเห็นว่าพยานโจทก์ได้นัดหมายมาแล้ว เตรียมพร้อมมาแล้ว พร้อมกล่าวทิ้งท้ายว่าหากพบว่าการไต่สวนพยานโจทก์ครั้งนี้มีข้อผิดพลาด หรือข้อติดใจตรงที่ใดก็ขอให้บอก ศาลจะออกหมายเรียกให้พยานโจทก์มาเบิกความที่ศาลแห่งนี้

ภายหลังจากสืบพยานไปสักระยะ ปรากฏว่าทนายจำเลยไม่สามารถถามค้านได้โดยสะดวก เพราะมีเอกสารหลายอย่างที่ต้องการให้พยานโจทก์อ่านรายละเอียด การสืบพยานเต็มไปด้วยความติดขัดและมีข้อผิดพลาดของการสื่อสารหลายอย่าง 

สุดท้ายศาลจึงต้องยอมให้เรียกพยานโจทก์ปากนี้มาเบิกความที่ศาลเพิ่มเติมในวันที่ 2 ก.ค. 2567 ตามคำร้องของจำเลย

———————————-

.

วันที่ 3 ก.ค 2567 วันสุดท้ายของการสืบพยาน 

เช้านี้เก็ทต้องขึ้นเบิกความในฐานะพยานจำเลย ก่อนเริ่มการพิจารณา เขาแถลงต่อศาลขอเปลี่ยนการแต่งกายในห้องพิจารณาคดี จากชุดนักโทษเป็นเสื้อเชิ้ตธรรมดาแทน อย่างน้อยเขาก็ควรได้รับอิสรภาพในการแต่งกายอยู่บ้าง ซึ่งผู้พิพากษาก็ได้อนุญาตตามคำขอโดยไม่ต้องเสียเวลาให้จำเลยยื่นคำร้อง

เก็ทเริ่มถอดชุดนักโทษสีน้ำตาลออก แล้วสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวที่คุณพ่อได้เตรียมไว้ให้ลูก “สายน้ำ” เพื่อนของเก็ทที่มาเฝ้าดูการพิจารณาคดีในวันนี้ถอดรองเท้าคัตชูหนังสีดำเงาให้เก็ทได้สวมใส่ ทำให้เขาได้ขึ้นเบิกความด้วยชุดขาวสะอาดเอี่ยมราวกับไม่ใช่ผู้ถูกจองจำ 

เมื่อขึ้นเบิกความต่อศาล เก็ทได้ชูแขนขวาขึ้นทำมือเป็นรูปสามนิ้ว พร้อมกล่าวคำสาบานต่อนักสู้เพื่อประชาธิปไตยทั้งหลายอย่างหนักแน่นว่าหากตนพูดความเท็จขอให้มีอันเป็นไป

“ข้าพเจ้าขอสาบานตนต่อคณะราษฎร, ครูครอง จันดาวงศ์, จิตร ภูมิศักดิ์, คุณเนติพร  และจิตวิญญาณของประชาชนทุกคนที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ความเสมอภาค และความยุติธรรม ข้าพเจ้าขอสาบานว่า การสืบพยานในครั้งนี้ ข้าพเจ้าจะพูดแต่ความเป็นจริง และนำเสนอความจริงต่อสาธารณชน

“หากข้าพเจ้าไม่กระทำการตามนั้น ขอให้ความวิบัติ ฉิบหาย ตายโหงเกิดแก่ข้าพเจ้า แต่หากข้าพเจ้ากล่าวความจริงต่อศาล ขอให้ความเจริญรุ่งเรือง ความเสมอภาค ความยุติธรรม และประชาธิปไตยจงบังเกิดกับประเทศนี้” เก็ทกล่าวสาบานที่ผูกมัดจิตวิญญาณของตน

ภายหลังจากที่เก็ทกล่าวคำสาบานเสร็จแล้ว ทนายเริ่มการสืบพยานโดยถามคำถามแรกกับเก็ทว่า “ทำไมถึงต้องการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม”

เก็ทอธิบาย “จริง ๆ สำหรับการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมเนี่ยมันดูกว้างมาก แต่ว่าเราจำเป็นต้องทำให้เห็นว่ากระบวนการยุติธรรมมันมีปัญหาอย่างไรบ้าง ซึ่งการที่จะแสดงให้เห็นว่ามันมีปัญหา เราจะต้องมีพื้นที่ปลอดภัยในการพูดถึงกันก่อน 

“ผมเองก็มองว่าการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมก็ต้องใช้กระบวนการหลาย ๆ กระบวนการเข้ามาร่วมด้วย หนึ่งในนั้นคือเสรีภาพในการแสดงออกทางความเห็นของประชาชน และความร่วมมือจากพวกท่านทั้งหลาย (ผู้พิพากษา) ในฐานะของตุลาการ และการใช้กระบวนการทางนิติบัญญัติในรัฐสภา ก็ต้องใช้วิธีการหลาย ๆ กระบวนการในการพูดร่วมกัน แต่หลักการสำคัญคือเราจะต้องมีพื้นที่ปลอดภัยในการพูดคุยกันซะก่อน

“ทำไมถึงต้องปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม เพราะประชาชนต่างคาดหวังกับการที่จะพึ่งพาสถาบันตุลาการให้ปลอดภัย ให้ได้รับความยุติธรรม แต่ปัญหาก็คือว่าเมื่อเราเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เรากลับเห็นความไม่มีมาตรฐาน ยกตัวอย่างเช่น ในวันแรกได้มีท่านผู้พิพากษาท่านหนึ่งพูดว่า กระบวนการพิจารณา 112 มีความเป็นธรรมและอิสระ แต่ทีนี้ผมก็มองว่าในคดีที่มีพฤติการณ์เดียวกัน โทษกลับไม่เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่นคนปราศรัย บางคนรอลงโทษ บางคนลงโทษ บางคนกดแชร์เฟซบุ๊กเหมือนกัน บางคนยกฟ้อง บางคนยังติดอยู่ในคุก”

นอกจากนี้ เก็ทยังยืนยันถึงจุดประสงค์ของตนที่ออกไปปราศรัยในวันนั้นเป็นเพราะว่า ตนต้องการส่งเสริมความตระหนักรู้ถึงสิทธิเสรีภาพ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน ไม่ได้มีเจตนาดูหมิ่นบุคคลหรือสถาบันใด

“ความเท่าเทียมในที่นี้ผมอยากจะเสนอให้ทุกคนเข้าใจตรงกันว่า ไม่ใช่ความเหมือนกัน ความเท่าเทียมคือเราอยู่บนความหลากหลาย คนเราเกิดมา ไปเกิดในบ้านที่มีเงินหน่อย ก็อาจจะมีสถานะที่ดีกว่าคนอื่น แต่ว่าศักดิ์ศรีความเป็นคนย่อมเท่ากัน 

“ผมก็พูดในฐานะนักศึกษาที่เรียนการแพทย์ มันไม่ค่อยจะมีเท่าไหร่ที่คนในบุคลากรทางแพทย์จะพูดในวันแรงงาน หรือในสนามการเมือง เพราะว่ามันไม่ปลอดภัยกับวิชาชีพ มันหมิ่นเหม่ต่อจริยธรรมทางการแพทย์ที่เราถูกพร่ำสอนมา แต่ว่าผมก็มองว่าบุคลากรทางการแพทย์ เราก็เป็นประชาชนคนหนึ่งที่เราจะออกมาแสดงความคิดเห็นได้ ตามรัฐธรรมนูญก็บัญญัติไว้ในมาตรา 34 เรื่องสิทธิและเสรีภาพ ซึ่งผมอยากจะชี้แจงว่าสิทธิเสรีภาพที่ผมใช้ ผมก็ใช้ในขอบเขตที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้ ผมไม่ได้มีเจตนาที่จะไปหมิ่นประมาทหรือทำร้ายใคร ทำร้ายราชวงศ์หรือสถาบันกษัตริย์ หรือแม้แต่ตัวบุคคลใดบุคคลหนึ่ง”

.

1. เจ้าฟ้าสิริวัณณวรีไม่ใช่รัชทายาท มาตรา 112 ครอบคลุมเพียง กษัตริย์ องค์ราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนเท่านั้น

ทั้งนี้ ในคำฟ้องของโจทก์ได้กล่าวหาเก็ททั้งหมด 4 ประเด็น ซึ่งเก็ทต้องการที่จะเบิกความชี้แจงข้อกล่าวหาเป็นรายประเด็น โดยประเด็นแรกคือข้อกล่าวหากรณีเจ้าฟ้าสิริวัณณวรีได้รับการฉีดวัคซีนไฟเซอร์แล้วเดินทางไปประเทศฝรั่งเศส

ผมพูดตามตรงว่าการที่โจทก์กล่าวหาว่าผิดมาตรา 112 อันนี้ เป็นการพยายามยุยงให้เกิดความสับสนต่อราชบัลลังก์ เพราะว่า 112 ครอบคลุมถึงแค่พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทน แต่เจ้าฟ้าสิริวัณณวรีไม่ได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาทตามกฎมณเฑียรบาล

“การที่ท่านบอกว่าการกล่าวถึงเจ้าฟ้าสิริวัณณวรีเป็นการละเมิด 112 เป็นนัยว่าเจ้าฟ้าสิริวัณณวรีอยู่ในหมวดของรัชทายาทหรือเปล่า เจ้าฟ้าสิริวัณณวรีจะต้องเป็นรัชกาลที่ 11 เพราะในหลวงรัชกาลที่ 10 ท่านก็ได้กำหนดยศโดยในหลวงรัชกาลที่ 9 มาก่อน ซึ่งแตกต่างกัน”

“ทีนี้ในประเด็นเจ้าฟ้าสิริวัณณวรีอยากจะชี้แจงว่า คนเราเลือกเกิดไม่ได้ เลือกเกิดไม่ได้ว่าจะอยู่ในฐานะเชื้อพระวงศ์ หรือเป็นสามัญชน เราไม่สามารถเลือกได้ว่าจะอยู่ในบ้านที่รวยหรืออยู่ในบ้านที่จน แต่ว่าความแตกต่างทางสายเลือดนั้น มันสมควรแล้วหรือที่ใครจะได้สิทธิเหนือกว่าใคร ในเมื่อราชวงศ์เองก็เป็นประชาชน”

“ถ้าหากเกิดว่าเจ้าฟ้าสิริวัณณวรีมีการชี้แจงในข่าวว่า ‘เราจะไปทำงาน เราจะไปทำในสิ่งที่จำเป็นเพราะฉะนั้นเราขอวัคซีนตัวนี้ก่อนได้ไหม’ ผมจะไม่ตะขิดตะขวงใจอะไรเลย ถ้าท่านชี้แจงว่ามีเหตุจำเป็นจริงๆ”

“แต่ทีนี้เมื่อมีสายเลือดของราชวงศ์แล้ว สิ่งหนึ่งที่มาพร้อมกับฐานะ ก็คือความรับผิดชอบ องค์หญิงเองก็จำเป็นจะต้องดำรงตนให้สมกับเป็นราชวงศ์จักรี ในจังหวะที่คนกำลังโกลาหลกับการตามหาวัคซีนกันอยู่กำลังลำบากกันอยู่ถ้วนหน้ามันก็สมควรแล้วหรือที่เราจะพูดว่าเราได้วัคซีนแล้ว ขณะที่คนอื่นกำลังตามหาวัคซีนกันอยู่”

.

2. การที่ในหลวงรัชกาลที่ 10 ถือหุ้นบริษัทสยามไบโอซายน์ 99.99% นั้นเป็นเรื่องที่ประชาชนสามารถพูดถึงและถกเถียงได้

ต่อมาเป็นประเด็นข้อกล่าวหาเกี่ยวกับคำปราศรัยถึงบริษัทสยามไบโอซายน์ เก็ทท้าวความถึงกรณีในหลวงรัชกาลที่ 10 ทรงถือหุ้นบริษัทฯ 99.99 % นั้น ประชาชนทั่วไปสามารถพูดถึงและถกเถียงกันได้ เก็ทอยากให้นึกถึงตอนที่พ่อแม่และตัวเก็ทเถียงกัน เก็ทกับพ่อแม่เถึยงกันมาทั้งชีวิต พ่อแม่ก็ยังไม่ได้โกรธเก็ทหรือตัดเก็ทออกจากชีวิต การอภิปรายเหล่านี้ก็เป็นเพียงการตั้งคำถามและแลกเปลี่ยนข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในสังคมไทย

“พ่อผมชื่อเทพดรุณ แม่ผมชื่อเทพลดา ผมคุยถกเถียงกับคุณเทพดรุณและเทพลดามาตลอดชีวิต แต่ผมก็ไม่รู้สึกว่าพ่อกับแม่จะไปโกรธเกรี้ยวหรือตัดผมออกจากความเป็นลูกหรือครอบครัว การที่เราจะพูดถึงพระนามในหลวงรัชกาลที่ 10 หรือพูดว่ากษัตริย์วชิราลงกรณ์ เราจะมากระโตกกระตากแล้วบอกว่าจะผิด 112 หรือเปล่า นี่คือการผลักสถาบันกษัตริย์ให้ออกห่างจากประชาชนเรื่อย ๆ

“ท่านครับเราอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง เราไม่ได้อยู่ในโลกของนิยาย ร.10 ไม่ใช่ลอร์ดโวลเดอมอร์ที่จะพูดถึงไม่ได้ เราพูดถึงกันได้และผมพูดบนหลักการและเหตุผล ผมไม่ได้มีเจตนาที่จะล้มล้างหรือทำร้ายท่าน แค่วิพากษ์ท่านตามความเห็น ตามฐานะของพสกนิกรที่พึงกระทำได้ตามรัฐธรรมนูญ

“เรื่องแอสตราเซเนกาเรื่องสยามไบโอซายน์มันก็แบ่งออกเป็นสองส่วน เรื่องของธุรกิจและเรื่องของวิชาการแพทย์ ในประเด็นที่ว่าในหลวงรัชกาลที่ 10 ท่านเป็นผู้ถือหุ้น 99.99 % มันก็ทำให้เกิดความเกรงใจในภาคธุรกิจว่า เมื่อท่านเป็นผู้ถือหุ้น ผู้ประกอบการหรือนิติบุคคลรายอื่นก็อาจจะเกรงใจว่า ในหลวงถือหุ้น 99.99 % ในบริษัทไบโอซายน์ และสยามไบโอไซน์กำลังผลิตแอสตราเซเนกา และบริษัทอื่นที่จะนำเข้าไฟเซอร์หรือวัคซีนโมเดอร์น่าก็จะเกิดความเกรงใจว่าจะไประคายเคืองต่อท่านหรือไม่

“กลับไปที่มาตรา 6 ที่ว่าสถาบันกษัตริย์จะต้องเป็นที่เคารพสักการะ ที่เคารพสักการะในที่นี้ไม่ได้บอกถึงแค่ว่าประชาชนควรต้องเคารพสักการะกษัตริย์เท่านั้น แต่กษัตริย์เองก็จำเป็นที่ต้องดำรงตนให้อยู่ในที่เคารพสักการะด้วย มันเป็นกฎหมายที่บังคับทั้งประชาชนและกษัตริย์ไปพร้อม ๆ กัน ที่นี่การที่กษัตริย์เข้ามาถือหุ้น 99.99 % มันก็อาจจะเกิดความเคลือบแคลงสงสัยกันได้ ว่าจะวิจารณ์กันได้ไหม

“ในทางการแพทย์ถ้าย้อนกลับไปปี 65-64 ท่านจะเห็นเลยว่าซิโนแวค แอสตราเซเนกา ไฟเซอร์ โมเดอร์น่า มีการวิพากษ์วิจารณ์ มีงานวิจัยมากมายว่าวัคซีนตัวนี้เหมาะกับคนช่วงวัยใด เหมาะกับคนที่มีโรคประจำตัวใด แต่ทีนี้ในวงการทางการแพทย์เมื่อทราบว่าผู้ผลิตคือสยามไบโอซายน์ถือหุ้น 99% การที่จะพูดในที่สาธารณะก็เป็นที่ลำบากใจ ก็เหมือนกับผมพอวิจารณ์แล้วก็โดนคดี ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะชนะคดีไหม อาจจะโดนถอดใบประกอบวิชาชีพก็ได้ ไม่มีใครกล้าเสี่ยงหรอกครับ เราเรียนมาหนัก คงไม่มีคนที่จะเอาหัวมาพาดอย่างนี้”

ทั้งนี้ เก็ทกล่าวว่าในเมื่อรัฐธรรมนูญจำกัดไว้ทั้งสิทธิเสรีภาพประชาชนและเรื่องของพระราชอำนาจของสถาบันกษัตริย์ ดังนั้น การให้น้ำหนักในมาตรา 6 และมาตรา 34 จะหนักไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งไม่ได้ แต่ต้องเป็นคู่ขนานเดียวกัน

“ถ้าหากเกิดว่าผมออกมาด่า ออกมาล้มล้างสถาบันกษัตริย์ อย่างนั้นผมผิดแน่ ผมยืนยันว่าผมผิดแน่ แต่ตรงนี้ ในมาตรา 6 มันก็มีบาลานซ์กันอยู่ในระหว่างมาตรา 34 และมาตรา 6 เพราะฉะนั้นกฎหมายมันควรจะเป็นระนาบเดียวกัน ไม่ใช่ว่ากฎหมายใดหนักกว่ากฎหมายหนึ่ง”

.

3. เงินในโครงการเฉลิมพระเกียรติ ก็เป็นเงินบริจาคและเงินภาษีของประชาชน

ในประเด็นถัดมา เก็ทได้กล่าวถึงเรื่องเงินที่ในหลวงนำมาใช้เพื่อทำโครงการเฉลิมพระเกียรติต่าง ๆ แม้พยานโจทก์บางปากจะกล่าวปัดว่าตนไม่ทราบว่าเงินบริจาคแต่ละส่วน พระมหากษัตริย์ทรงใช้เงินส่วนพระองค์หรือไม่ แต่เก็ทได้ชี้แจงว่าเงินต่าง ๆ ที่พระมหากษัตริย์ทรงใช้ ก็มีเงินของประชาชนรวมอยู่ด้วย ไม่ว่าจะเป็นเงินบริจาค หรือเงินภาษีประชาชน

“จากประสบการณ์ ผมเรียนอยู่ที่โรงพยาบาลวชิระแล้วก็ไปฝึกงานที่โรงพยาบาลศิริราช เราก็จะเห็นโครงการมากมายที่เป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติ หรือโครงการในพระราชดำริ แต่ว่าโครงการนั้นเนี่ยจะมีตู้บริจาคให้ประชาชนร่วมบริจาคไปด้วยได้”

“ที่นี่หากโจทก์บอกว่าการกล่าวปราศรัยของผมเป็นสิ่งผิด คำถามที่ทำให้เกิดความคับข้องใจคือแล้วเงินตามตู้บริจาคที่เป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติ ท่านจะไม่นับรวมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการหรือครับ แล้วงบประมาณสถาบันกษัตริย์ที่พิจารณาแต่ละครั้งในรัฐสภาละครับ มันก็มีการชี้แจงในรายละเอียดว่าจะของบจากภาษีประชาชนไปทำอะไรบ้าง

“เพราะฉะนั้นผมไม่ว่าเลย ถ้าสถาบันกษัตริย์จะทำการดีเป็นไปตามทศพิธราชธรรม หรือเป็นการทำดีต่อสังคม ผมยกย่องสรรเสริญด้วย แต่ว่าผมอยากจะให้ประชาชนเห็นว่าไม่ได้มีแค่สถาบันกษัตริย์ที่ร่วมสังฆกรรมในโครงการนี้ ประชาชนก็ร่วมด้วย เพราะฉะนั้นเราควรจะให้กำลังใจกันและกันดีกว่าไหม ไม่ใช่แค่ให้กำลังใจในสถาบันกษัตริย์ ว่าโอเคโครงการนี้มันเกิดจากกษัตริย์และประชาชนร่วมด้วยช่วยกัน”

.

4. แม้จะเลิกทาสไปแล้ว แต่วัฒนธรรมความเป็นทาสยังมีอยู่ในสังคมปัจจุบัน

บทสุดท้ายในคำเบิกความของเก็ทเป็นการกล่าวถึงเรื่องราวของความเป็นทาส เขาไม่ได้มองว่าในหลวงรัชกาลที่ 10 เชื้อพระวงศ์ หรือใครก็แล้วแต่กดหัวโดยเจตนาเช่นนั้น มันเป็นคำเปรียบเปรย แต่ในเชิงระบอบระบบมันก็มีเรื่องของวัฒนธรรมอยู่ วัฒนธรรมความเป็นทาสยังมีอยู่ แม้ว่าในหลวงรัชกาลที่ 5 จะเลิกทาสไปแล้วก็ตาม

“ความเป็นทาสไม่ได้แปลว่าการกดขี่อย่างเดียว แต่มันคือลักษณะ สัญญะ ของการที่คนเราไม่เท่ากัน ซึ่งผมไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ไม่อยากให้เกิดบรรทัดฐานแบบนี้ขึ้น ทีนี่ในเรื่องของสถาบันผมได้ฟังตลอดการสืบพยาน วัฒนธรรมความเป็นทาสก็ยังมีอยู่ ไม่ใช่แค่ระบอบหรือกฎหมาย แต่คือทัศนคติที่ผู้คนมีความเห็นต่างกันยัดเยียดให้กัน เช่นเราจะพูดถึงสถาบันกษัตริย์ไม่ได้เลย เพราะท่านอยู่สูงกว่าเรา จะทำให้ท่านระคายเคืองพระองค์

“แต่ทีนี้ในความเป็นจริง เราอยู่ด้วยกันในสังคม เราอยู่ด้วยกันอย่างเท่าเทียม ไม่ได้หมายความว่าผมจะดึงกษัตริย์ให้ต่ำลง หรือยกตนให้สูงเท่ากษัตริย์ เราอยู่บนความหลากหลาย แต่ว่าเราจะปิดปากใครสักคนหนึ่งไม่ได้ ถ้าหากผมพิสูจน์ได้ว่าสิ่งที่ผมพูดมันมีอ้างอิงและเป็นความจริงนั้น มันจะพูดไม่ได้เลยหรือ

“ผมไม่อยากให้ศาลแห่งนี้เป็นเพียงโรงละคร ไม่อยากให้เป็นเวทีโชว์ตลก ท่านอัยการก็เบิกความพยานโจทก์ก็เป็นแพทเทิร์น ไม่ใช่แค่อัยการท่านนี้ มีพนักงานสอบสวน กลุ่มคนที่อ้างว่าตนรักในหลวง กลุ่ม ศปปส. ซึ่งไม่ได้อยู่ในพื้นที่เลย

“การที่ศาลลงโทษอย่างไม่มีมาตรฐาน เช่น คนหนึ่งรอลงอาญา คนหนึ่งยกฟ้อง คนหนึ่งไม่ได้ประกัน คนหนึ่งลงโทษอย่างหนัก คนหนึ่งยืนตามชั้นต้น มันทำให้กลุ่มคนที่อ้างว่ารักสถาบันลำพองใจว่าไม่ว่าจะสืบพยานอะไรยังไงก็ชนะคดีอยู่ดี เพราะฉะนั้นจะหยิบอะไรใส่ตะกร้าก็ได้ เพราะผลสุดท้ายผลลัพธ์มันก็ออกมาเหมือนเดิมอยู่ดี ผมไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนั้น

“ผมอยากให้ทุกครั้งที่ผมมาศาลหรือใครก็ตามที่มาศาลรู้สึกว่ามันปลอดภัย สิ่งหนึ่งที่ผมจะต้องเรียกร้องว่าจะปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมแบบไหน ผมอยากให้ท่านรับฟังและก็อาจจะบอกต่อในเพื่อนของท่าน ขอให้ท่านและอัยการยุติการสถาปนาการปิดปากการพูดความจริง ผมรู้สึกว่ามันบิดเบี้ยวมากที่จะบอกว่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องจริงก็ยังผิดอยู่ เราพูดไม่ได้ เราอยู่ในสังคมร่วมกัน ถ้าเราหันหน้าคุยกันไม่ได้แล้วมันจะเป็นยังไงต่อ สุดท้ายความบาดหมางมันก็จะยิ่งลึกลงไปเรื่อย ๆ”

“คุณเนติพร เขาประท้วงด้วยการอดอาหารจนตัวตาย ใคร ๆ ก็รักชีวิต แต่ว่าการที่เขาประท้วงอย่างบริสุทธิ์ใจ เขาก็หวังว่าท่านจะตาสว่างได้เห็นว่า มันมีอำนาจบางอย่างที่คอยแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมไทยอยู่ ไม่ว่าท่านจะเห็นหรือไม่ แต่คุณเนติพรเห็น ผมก็อยากให้ท่านได้เห็น แต่ถ้าท่านยังไม่เห็น ผมไม่ได้ท้าทาย แต่ถ้าชีวิตของคุณเนติพรยังไม่ได้ทำให้กระบวนการยุติธรรมในประเทศนี้มันสว่างมากพอ ผมเองก็คงจะต้องใช้อีกชีวิตของผมในการประท้วง เพื่อให้กระบวนการมันมีแสงสว่างไปต่อได้ ผมไม่ได้ท้าครับ ผมทำแน่และผมทำจริง”

ภายหลังจากที่เบิกความเสร็จสิ้นและผู้พิพากษาลงจากบัลลังก์แล้ว ผู้ที่มาให้กำลังใจเก็ทได้ร่วมกันร้องเพลง “ด้วยรักและผูกพัน” ในห้องพิจารณา

ก่อนเก็ทจะถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวออกจากห้องพิจารณาเพื่อกลับไปยังเรือนจำ พร้อมทิ้งไว้แต่เสียงกังวานของคำเบิกความที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นอันแรงกล้า

ทั้งนี้ ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีนี้ในวันที่ 29 ส.ค. 2567 เวลา 09.00 น.


ภาพข้อความที่เก็ทเขียนบนเนื้อเพลงฝากถึงทุกคน “ขอให้พูดความจริงต่อไป” 

X