คดีค้างเก่าปี 62 กรณี “จ่านิว” ถูกกล่าวหาหมิ่น กกต. ยังไม่จบ อัยการรื้อมานัดฟังคำสั่ง เลื่อนแล้ว 3 ครั้ง รอตำรวจส่งพยานหลักฐาน

อัยการเลื่อนนัดสั่งฟ้องคดี ข้อหาหมิ่นประมาทฯ ต่อ กกต. ของ “จ่านิว” สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ เป็นครั้งที่ 3 แล้วในปี 2567 จากกรณีที่สืบเนื่องมาจากการขึ้นปราศรัยล่าชื่อถอดถอน กกต. ในกิจกรรมชุมนุม #เห็นหัวกูบ้าง เมื่อปี 2562  

สำหรับคดีนี้มี นายพินิจ จันทร์ฉาย หนึ่งในคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในขณะนั้น ได้เข้าแจ้งความในข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา กับ “จ่านิว” สิรวิชญ์, “เพนกวิน” พริษฐ์ ชิวารักษ์ และ “แม่น้องเกด” พะเยาว์ อัคฮาด จากกรณีทั้งสามคนได้เข้าร่วมปราศรัยในกิจกรรมล่ารายชื่อถอดถอน กกต. ในชื่อ “#เห็นหัวกูบ้าง” ที่บริเวณสกายวอล์คของสถานีรถไฟฟ้าอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เมื่อวันที่ 31 มี.ค. 2562

ทั้งสามคนถูกแจ้งข้อหาที่ สน.พญาไท ตั้งแต่เมื่อวันที่ 30 เม.ย. 2562 โดยให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา  ข้อกล่าวหาระบุในส่วนของ จ่านิว ผู้ต้องหาที่ 1 ได้อ่านแถลงการณ์ โดยมีใจความสำคัญสรุปได้ว่า ขอให้ กกต. เปิดเผยผลการลงคะแนนทุกหน่วยเลือกตั้ง และจะต้องไม่มีการทุจริต หรือเอื้อผลประโยชน์ให้กับรัฐบาลที่มาจาก คสช. ทั้งยังกล่าวถึงการใช้งบประมาณจัดการเลือกตั้งถึง 5.8 พันล้านบาท แต่กลับมีพฤติกรรมไม่โปร่งใสและความบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ 

ในบันทึกแจ้งข้อหายังระบุถึงข้อความที่สิรวิชญ์กล่าวอีกว่า “เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า กกต. จะตระหนักได้แล้ว ว่าความเชื่อถือ ศรัทธาที่ประชาชนมีต่อองค์กรได้ตกต่ำลงมาเพียงใด และจะกลับตัวกลับใจ แก้ไขในสิ่งที่ผิดให้กลับเป็นถูกต้องอย่างเต็มความสามารถ และไม่ทำผิดซ้ำซากมากไปกว่านี้ มิเช่นนั้นแล้ว คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าที่จะต้องนับว่า กกต. ชุดนี้ เป็นหนึ่งในผู้สมรู้ร่วมคิดในการโกงการเลือกตั้งครั้งนี้”

บันทึกระบุข้อความของนางพะเยาว์ว่า “ใครที่รอรวมตัวกันทำกิจกรรมเพื่อต่อต้านการโกงโดยคณะกรรมการการเลือกตั้ง”

ในส่วนของพริษฐ์นั้น บรรยายว่า “ทำไม กกต.ถึงยอมให้มีการโกงการเลือกตั้ง” “กกต.เป็นกรรมการกลับโกงการเลือกตั้งเสียเอง” “กกต.ย่อมาจากโกงการเลือกตั้ง” “กกต.ทำไมไม่ตรวจสอบการกระทำความผิดของพรรคการเมือง ทำไมเอาเวลาไปโกงการเลือกตั้ง” “กกต.มีหน้าที่ในการจัดการเลือกตั้งแท้ๆ ทำไมมาโกงการเลือกตั้งเสียเอง” “กกต.ชุดนี้มันไม่ใช่กรรมการการเลือกตั้ง แต่มันเป็นกรรมโกงการเลือกตั้ง” “กรรมการมันโกงซะเอง” 

คดีของทั้ง 3 คน พนักงานสอบสวน สน.พญาไท ได้มีความเห็นว่าควรสั่งฟ้องตั้งแต่วันที่ 16 ส.ค. 2562 และอัยการได้รับสำนวนคดีนี้ไว้ และขอให้มารายงานตัวเมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2562 ก่อนมีการเลื่อนฟังคำสั่ง จนถึงช่วงต้นปี 2563 ก็ไม่ได้มีนัดให้ไปรายงานตัวอีก

แต่หลังคดีผ่านไปกว่า 5 ปี ในช่วงต้นปี 2567 เจ้าหน้าที่ของสำนักงานอัยการสูงสุดได้ติดต่อนัดหมายให้เฉพาะจ่านิวมาฟังคำสั่งของอัยการในคดีนี้อีกครั้ง โดยมีการนัดหมายไปฟังคำสั่งมาทั้งหมด 3 ครั้งแล้ว และเลื่อนฟังคำสั่งทั้ง 3 ครั้ง

ครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9 เม.ย. 2567 ก่อนอัยการจะเลื่อนนัดฟังคำสั่ง ระบุเหตุว่ายังขาดพยานหลักฐานจากพนักงานสอบสวน สน.พญาไท เลื่อนนัดใหม่เป็นวันที่ 9 พ.ค. 2567 และต่อมาก็เลื่อนไปเป็นวันที่ 10 มิ.ย. 2567 โดยระบุเหตุผลเดิมว่าพนักงานสอบสวนยังไม่ส่งพยานหลักฐานในคดีนี้ให้แล้วเสร็จ จึงขอให้จำเลยมาฟังคำสั่งใหม่อีกครั้งในวันที่ 11 ก.ค. 2567 เป็นครั้งที่ 4 ในปีนี้แล้ว

สำหรับกิจกรรมในคดีนี้ เกิดขึ้นภายหลังการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มี.ค. 2562 และเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของ กกต. โดยเฉพาะความไม่ชัดเจนเรื่องการใช้สูตรคำนวณสัดส่วนของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  และมีการรณรงค์ล่ารายชื่อถอดถอน กกต. ในเว็บไซต์ change.org และตั้งจุดลงชื่อในสถานที่ต่าง ๆ โดยมีผู้ร่วมลงชื่อในช่วงดังกล่าวถึง 8 แสนกว่าบัญชี  อีกทั้งในช่วงดังกล่าว กกต. ยังได้ดำเนินการแจ้งความดำเนินคดีกับประชาชนอย่างน้อย 20 คน ใน 4 คดี ด้วย 

ทั้งนี้ มีข้อสังเกตว่าคดีดังกล่าว เป็นคดีค้างเก่าตั้งแต่ปี 2562 โดยพยานหลักฐานทั้งหมดถูกรวบรวมไว้ในชั้นสอบสวนแล้วทั้งสิ้น ดังนั้นเหตุของการไม่ส่งพยานหลักฐานที่จะใช้พิจารณาคดี จึงเป็นที่น่าสังเกตว่าอัยการควรที่จะพิจารณาไม่สั่งฟ้องคดีได้หรือไม่ เนื่องจากความล่าช้าของคดีที่ล่วงเลยเข้าปีที่ 5 แล้ว

X