12 ก.ย.60 เวลา 9.00 น. ศาลจังหวัดพิจิตรนัดสืบพยานในคดีระหว่างพนักงานอัยการจังหวัดพิจิตร กับชาวบ้านกลุ่มเครือข่ายผู้ป่วยรอบเหมืองทองคำจังหวัดพิจิตรและเพชรบูรณ์ จำนวน 27 ราย ในข้อหาตามพ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ และข้อหาร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่น จากกรณีการขัดขวางรถขนแร่ของบริษัทอัครา ไม่ให้ผ่านเส้นทางสาธารณะตั้งแต่ในช่วงเดือนก.ค.59
เหตุในคดีนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 ก.ค.59 เมื่อบริษัทอัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินกิจการเหมืองทอง ได้ดำเนินการขนแร่ผ่านเส้นทางสาธารณะบริเวณถนนรอบเหมือง แต่มีการระบุว่าทางกลุ่มชาวบ้านได้รวมตัวกันเข้าขัดขวางรถขนแร่เพื่อไม่ให้ผ่านเส้นทาง หลังจากนั้นทางบริษัทได้ให้ตัวแทนเข้าแจ้งความเอาผิดกับชาวบ้านจากเหตุการณ์ดังกล่าว
ต่อมา ชาวบ้านจำนวน 27 ราย ได้รับหมายเรียกให้เดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหาที่สถานีตำรวจภูธรทับคล้อ โดยในครั้งแรกมีการแจ้งข้อกล่าวหาเรื่องการร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการ หรือไม่กระทำการใด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 309 เพียงข้อหาเดียว แต่ในเวลาต่อมาอัยการได้ให้มีการสอบสวนในข้อหาตามพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 เพิ่มเติมด้วย
หลังจากนั้น อัยการมีคำสั่งฟ้องคดีต่อศาลจังหวัดพิจิตรเมื่อวันที่ 9 ก.พ.60 โดยฟ้องในข้อหาตามพ.ร.บ.ชุมนุมฯ ในเรื่องการร่วมกันชุมนุมปิดกั้นทางสาธารณะ ก่อให้เกิดความไม่สะดวกแก่ประชาชน และข้อหาตามมาตรา 309 ขณะที่จำเลยบางส่วนยังถูกฟ้องในข้อหาเรื่องการปิดบังหรืออำพรางตน ตามพ.ร.บ.ชุมนุมฯ จากกรณีการปิดบังใบหน้าในขณะเกิดเหตุ รวมทั้งแกนนำของชาวบ้านยังถูกฟ้องในเรื่องการเป็นผู้จัดการชุมนุม แต่ไม่ควบคุมดูแลผู้ชุมนุม และไม่แจ้งการจัดการชุมนุมอีกด้วย หลังจากอัยการยื่นฟ้องคดี ชาวบ้านได้ยื่นขอประกันตัวด้วยหลักทรัพย์จากกองทุนยุติธรรม รายละ 1 แสนบาท โดยคดีนี้มีทีมทนายความจากสภาทนายความเข้าให้ความช่วยเหลือทางกฎหมาย
เดิมนั้น จำเลยทั้ง 27 คน ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และศาลจังหวัดพิจิตรได้นัดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลย ในช่วงวันที่ 12-14 ก.ย. และ 19-22 ก.ย.60 (ดูรายงานก่อนหน้านี้)
จำเลย 27 คน และทีมทนายความจากสภาทนายความ (ภาพจาก Chainarong Sretthachau)
ในนัดนี้ ศาลแจ้งว่าชาวบ้านที่เป็นผู้ขับรถของบริษัทในวันเกิดเหตุ ยื่นเรื่องขอให้แต่งตั้งเป็นโจทก์ร่วม ในฐานะผู้เสียหาย โดยศาลอนุญาตให้เป็นโจทก์ร่วมเฉพาะข้อหาตามมาตรา 309 ส่วนข้อหาอื่นไม่อนุญาต เนื่องจากเป็นความผิดต่อสาธารณะ
ก่อนเริ่มพิจารณา ศาลได้พูดคุยกับคู่ความ โดยเห็นว่าการต่อสู้ในคดีนี้ ทำให้ชาวบ้านต้องมาศาลหลายครั้ง และจะทำให้ไม่ได้ทำนาหรือประกอบอาชีพตามปกติ ทั้งข้อเท็จจริงยังปรากฏว่าเหตุการณ์ไม่ได้มีการทำร้าย ใช้ความรุนแรง หรือไม่ได้มีทรัพย์สินเสียหาย ทั้งเหตุอันเป็นที่มาของการชุมนุมของชาวบ้าน คือในส่วนเหมืองทอง ก็ได้ถูกรัฐบาลมีคำสั่งให้ปิดเหมืองไปแล้ว
ศาลระบุอีกว่าในส่วนของผลกระทบจากการทำเหมืองทอง เป็นคนละเรื่องกับคดีนี้ เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีอาญา เป็นความผิดต่อรัฐ ไม่ใช่กับทางบริษัท เมื่อมีกฎหมายบัญญัติความรับผิดทางอาญารองรับอยู่ ศาลก็ต้องวินิจฉัยตามตัวบท คือเรื่องของการชุมนุมปิดทางสัญจรของสาธารณะ ซึ่งอาจทำให้บุคคลอื่นได้รับความเดือดร้อน
ศาลยังระบุถึงกรณีเหมืองทองที่จังหวัดเลยที่มีกลุ่มชาวบ้านถูกฟ้องในลักษณะใกล้เคียงกัน ซึ่งศาลก็ได้พบว่าได้มีการให้รอการกำหนดโทษ ศาลจึงจะพิจารณาแนวทางเช่นนั้น จึงอยากให้จำเลยทั้งหมดทบทวนคำให้การดู
จากนั้น ได้มีการพูดคุยถึงประเด็นในคดีระหว่างศาลและคู่ความ ก่อนให้มีการพักการพิจารณาเพื่อให้ทางฝ่ายจำเลยพิจารณาทบทวนคำให้การใหม่ ต่อมาทางฝ่ายโจทก์และโจทก์ร่วมได้แถลงต่อศาลว่าจะไม่ติดใจเอาความต่อจำเลยอีก ทั้งในทางแพ่งและทางอาญา
ส่วนทางฝ่ายจำเลยชาวบ้านทั้งหมดได้ตัดสินใจกลับคำให้การ เป็นรับสารภาพตามข้อกล่าวหา ทั้งเนื่องจากชาวบ้านที่เป็นผู้สูงอายุหลายคนต้องรับภาระในการต่อสู้คดี และยังต้องประกอบอาชีพหารายได้ ทำให้ไม่สะดวกมาศาลอย่างต่อเนื่อง ทางทนายความจึงได้ทำคำร้องประกอบคำรับสารภาพ และศาลได้กำหนดการอ่านคำพิพากษาในช่วงบ่ายทันที
ในช่วงบ่าย ศาลได้อ่านคำพิพากษา โดยเห็นว่าจำเลยทั้งหมดมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 309 และตามพ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 แต่เห็นว่าจำเลยเป็นกลุ่มชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากการประกอบกิจการเหมืองทอง การชุมนุมที่เกิดขึ้นไม่ได้มีความรุนแรง หรือเกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินของทางราชการ โจทก์และโจทก์ร่วมก็ไม่ติดใจเอาความอีก ทั้งในทางแพ่งและทางอาญา ประกอบกับจำเลยทั้งหมดประกอบอาชีพสุจริต มีรายได้ไม่มากนัก ไม่เคยมีความประพฤติเสียหาย และไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน จึงให้โอกาสกลับตนเป็นคนดี พิพากษาให้รอการกำหนดโทษ มีกำหนดระยะเวลา 1 ปี
ในคดีนี้ จำเลยที่ถูกกล่าวหาส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงจำนวน 21 ราย ขณะที่เป็นผู้ชาย 6 ราย โดยส่วนใหญ่ยังเป็นผู้สูงอายุ และประกอบอาชีพเกษตรกรรม ในวันเกิดเหตุ ชาวบ้านบางส่วนระบุว่าได้เข้าไปตรวจสอบว่ามีการดำเนินการใดบริเวณเหมือง เนื่องจากได้ยินเสียงดังจากรถของบริษัท บางคนเพียงแต่เดินกลับมาจากการเก็บผักหรือทำไร่ แล้วเข้ามามุงดูเหตุการณ์ แต่ก็กลับถูกดำเนินคดีไปด้วย ขณะที่บางส่วนที่ใส่หมวกหรือคลุมใบหน้าด้วยผ้า ก็เนื่องมาจากกำลังทำไร่ทำนาอยู่ ชาวบ้านระบุว่าไม่ได้เป็นการปิดบังอำพรางใบหน้าแต่อย่างใด
ทั้งนี้ ในช่วงกว่าสิบปีที่ผ่านมา ชาวบ้านในหลายหมู่บ้านรอบเหมืองทองคำจังหวัดพิจิตรและเพชรบูรณ์ เผชิญความขัดแย้งกับบริษัทที่เข้ามาทำเหมืองทองเรื่อยมา ทั้งปัญหาผลกระทบทางสุขภาพของชาวบ้าน ปัญหามลพิษทางสิ่งแวดล้อม หรือปัญหาการคุกคามข่มขู่แกนนำ โดยแกนนำชาวบ้านและนักเคลื่อนไหวทางสังคมที่ทำงานช่วยเหลือชุมชน ยังเคยถูกบริษัทกล่าวหาในข้อหาตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และข้อหาหมิ่นประมาท จากกรณีการโพสต์และแชร์ข้อความเกี่ยวกับการได้รับการยกเว้นภาษีของบริษัท
ต่อมา ในปี 2559 กลุ่มชาวบ้านยังมีการฟ้องร้องต่อศาลแพ่ง เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535 จากบริษัท เนื่องจากชุมชนได้รับผลกระทบทางสุขภาพและสิ่งแวดล้อม โดยกรณีนี้ยังอยู่ในระหว่างการดำเนินคดี
เรื่องที่เกี่ยวข้อง