นายเจษฎา (สงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี ผู้อำนวยการเฟซบุ๊กเพจ “เสรีกาญจน์ เพื่อประชาธิปไตย” เปิดเผยข้อมูลกับศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ถึงเหตุการณ์ถูกเจ้าหน้าที่รัฐคุกคามก่อนการจัดกิจกรรมคาร์ม็อบ ในจังหวัดกาญจนบุรี ว่า เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2564 หลังจากมีการโพสต์ข้อความเชิญชวนร่วมกิจกรรม “เมืองกาญจน์ทัวร์” ในวันที่ 1 สิงหาคม 2564 เวลา 14.00 น. ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจโทรหาคุณแม่ของเขา สอบถามว่ารู้หรือไม่ว่าลูกกำลังจะจัดกิจกรรมอะไร จะติดต่อเขาได้อย่างไร รวมทั้งขอเบอร์โทรศัพท์มือถือ แต่แม่ปฏิเสธไม่ยอมให้เบอร์โทรศัพท์
แต่จากนั้นอีกไม่นาน ตำรวจก็ยังติดต่อมาขอเบอร์โทรศัพท์ของเขาอีกครั้ง เนื่องจากเจษฎาอยู่กับแม่ด้วย จึงยินยอมให้เบอร์โทรศัพท์กับตำรวจไป ตำรวจจึงได้แจ้งกับเขาว่า นายอำเภอกับรองผู้การฯ จะไปพบในวันที่ 29 กรกฎาคม 2564
จนวันที่ 29 กรกฎาคม 2564 ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ นำโดย พ.ต.อ.สุชาย เทศัชบุตร ผู้กำกับสถานีตำรวจภูธรท่าม่วง และผู้กำกับสถานีตำรวจภูธรสำรอง, เจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาล, เจ้าหน้าที่ กอ.รมน., เจ้าพนักงานฝ่ายปกครอง, เจ้าหน้าที่ทหาร, นายอำเภอท่าม่วง, ปลัดอำเภอ รวมกันแล้วประมาณ 25 คน เข้ามาพบเขาที่บ้าน โดยพยายามพูดคุยขอความร่วมมือไม่ให้มีการจัดกิจกรรมดังกล่าว เนื่องจากอยู่ในสถานการณ์โรคโควิด-19 แพร่ระบาด แต่เขาพยายามเจรจาว่ากิจกรรมไม่ได้มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เพราะไม่ได้มารวมตัวชุมนุมกัน เพียงแต่ร่วมกิจกรรมอยู่บนรถใครรถมัน หลังการพยายามเกลี่ยกล่อม ตำรวจจึงแจ้งว่าให้จัดได้ แต่ขอให้รวบรัดที่สุด ใช้เวลาพูดคุยกันประมาณ 30 นาที
ต่อมา วันที่ 30 กรกฎาคม 2564 ช่วงเวลาประมาณ 11.00 น. ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจในท้องที่เข้ามาหาเขาที่บ้านอีกครั้ง แจ้งว่านายอำเภอจะขอเข้าพบอีก แต่เขาติดธุระ จึงขอให้มาหาตอนบ่าย 3 โมงแทน
เมื่อถึงเวลาก็มีกลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่รัฐ คาดเป็นชุดเดิมกับวันก่อนหน้า แต่พบว่ามีกลุ่มเจ้าหน้าที่ที่เดินทางมาจากตัวเมืองกาญจนบุรี ทั้งฝ่ายสันติบาล ผู้อำนวยการ กอ.รมน. จังหวัด รวมทั้งผู้กำกับสถานีตำรวจภูธรเมืองกาญจนบุรีมาเพิ่มด้วย รวมเป็นประมาณ 30 คน
เจ้าหน้าที่เข้ามาแจ้งในลักษณะเดิมว่ากฎหมายไม่เอื้ออำนวยให้จัดกิจกรรมในช่วงเวลานี้ ถ้ามีการจัดกิจกรรมจะทำการดำเนินคดีตามกฎหมาย แต่เมื่อถามว่าจะดำเนินคดีตามกฎหมายอะไร เจ้าหน้าที่แจ้งว่ายังไม่รู้ ขอไปหาข้อมูลก่อน
เจ้าหน้าที่ยังแจ้งต่อมาอีกว่าสถานที่นัดรวมตัวเริ่มกิจกรรมที่สวนรุกขชาติท่าม่วง (ถนนริมเขื่อนแม่กลอง) ขณะนี้เป็นสถานที่พักคอยสำหรับผู้ป่วยโควิด-19 จึงไม่น่าจะไปทำกิจกรรมในบริเวณดังกล่าว เจษฎาจึงยินยอมเปลี่ยนสถานที่จัดกิจกรรม
วันที่ 31 กรกฎาคม 2564 เจษฎายังพบว่ามีข้อมูลส่วนตัวของเขา ถูกเผยแพร่ในกลุ่มแชทของเจ้าหน้าที่ทหารมลฑลทหารบกที่ 27 เนื่องจากมีผู้แคปมาโพสต์ลงในกลุ่มเฟซบุ๊กของโรงเรียนเก่า ซึ่งทำให้เขาเสียหาย เขาจึงโทรหาผู้กำกับ สภ.ท่าม่วง เพื่อสอบถามเกี่ยวกับข้อมูลของเขาที่หลุดออกไปในสื่อโซเชียล แต่ผู้กำกับฯ แจ้งว่าไม่ทราบเรื่องดังกล่าว และไม่สามารถควบคุมการเผยแพร่ข้อมูลของฝ่ายทหารได้
เมื่อถึงวันจัดกิจกรรมคาร์ม็อบในวันที่ 1 สิงหาคม 2564 กิจกรรมได้มีการเปลี่ยนสถานที่จากบริเวณสวนรุกขชาติ ไปรวมตัวกันบริเวนถนนแสงชูโต (สายเก่า) หน้าโรงเรียนท่าม่วงราษฎร์บำรุง เวลาเดิม 14.00 น. โดยกำหนดนำรถที่ร่วมขบวนแห่ไปรอบเมือง ก่อนมุ่งสู่ศาลากลางจังหวัดกาญจนบุรี
ก่อนถึงเวลาเริ่มงานประมาณครึ่งชั่วโมง ได้มีนายอำเภอท่าม่วงและผู้กำกับ สภ.ท่าม่วง นำเอกสารใส่ซองสีน้ำตาลมายื่นให้เจษฎาบริเวณที่จัดกิจกรรม ซึ่งเป็นเอกสารเกี่ยวกับการชุมนุมและกฎหมายเกี่ยวกับการแพร่ระบาดโรคต่างๆ ซึ่งเขาขอให้ตำรวจอ่านให้ฟัง แต่ตำรวจปฏิเสธ
ระหว่างการจัดกิจกรรมคาร์ม็อบเป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย มีรถมาร่วมขบวนประมาณ 100 คัน เขาคิดว่าได้กระแสตอบรับที่ดี อย่างไรก็ตามมีเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งด่านสกัดตามจุดต่างๆ จนต้องเปลี่ยนเส้นทาง โดยมีทีมประสานงานและได้รับการอำนวยความสะดวกจากตำรวจจราจร
นอกจากนี้เจษฎายังตั้งข้อสังเกตว่าที่ตนเองถูกตำรวจโทรหาแม่ และมีเจ้าหน้าที่รัฐจำนวนมากติดตามถึงบ้าน เนื่องจากหลังจากโพสต์ประกาศจัดกิจกรรมคาร์ม็อบไม่นาน ได้มีผู้สนใจและติดต่อมาทางกล่องข้อความของเพจ เพื่อสนับสนุนอยู่หลายคน ซึ่งคิดว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นหนึ่งในคนที่แอบทักมาขอข้อมูลเพื่อทราบตัวตนของเขาด้วย
ทั้งนี้กิจกรรมคาร์ม็อบ “เมืองกาญจน์ทัวร์” ระบุว่าจัดข้นโดยมีข้อเรียกร้อง คือประยุทธ์และคณะต้องลาออก, เยียวยาร้านค้าและประชาชนที่ไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคมและได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และยังเป็นกิจกรรมระบายความอึดอัดของประชาชน
เดิมที เจษฎาทำงานที่กรุงเทพฯ เคยเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองในช่วงปีที่ผ่านมา และเคยเป็นแอดมินเพจที่ระดมความช่วยเหลือในสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ทำให้เห็นถึงความล้มเหลวในการบริหารจัดการของรัฐบาล หลังจากกลับมาอยู่บ้านที่กาญจบุรีจึงคิดว่าควรจะต้องทำกิจกรรมส่งเสียงไปให้ถึงรัฐบาลและให้ผู้คนรับรู้ ซึ่งการจัดกิจกรรมก็ได้รับกระแสตอบรับที่ดี ยังไม่มีข้อกังวลอะไร หากมีโอกาสจะจัดกิจกรรมก็จะจัดอีกครั้ง