ผู้ต้องหาคดี “ขัดขวางขบวนเสด็จ” ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรม ชี้ตร.ปรับใช้ข้อกฎหมายไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง

17 ก.พ. 64 ที่สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 10 ผู้ต้องหาคดี “ประทุษร้ายเสรีภาพพระราชินี” ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 110 รวม 5 ราย ได้แก่ เอกชัย หงส์กังวาน, บุญเกื้อหนุน เป้าทอง, สุรนาถ แป้นประเสริฐ และผู้ต้องหาอีกสองราย ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมขอให้อัยการสั่งไม่ฟ้องคดีเหตุปรับใช้ข้อกฎหมายไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง และขอให้สอบผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการถวายความปลอดภัยขบวนเสด็จ-สมาชิกผู้แทนราษฎร-สื่อมวลชน เป็นพยานเพิ่มเติม

วันที่ 28 ม.ค. 64 ที่ผ่านมา พนักงานสอบสวน สน.ดุสิตมีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้งห้าต่ออัยการ โดยกล่าวหาว่ากระทำความผิด “ร่วมกันพยายามประทุษร้ายต่อเสรีภาพของพระราชินี, มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนใช้กำลังประทุษร้ายทำให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง, กีดขวางการจราจร และกีดขวางทางสาธารณะ” จากกรณีถูกกล่าวหาขัดขวางขบวนเสด็จของสมเด็จพระราชินีและสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าทีปังกร บนถนนพิษณุโลก ขณร่วมการชุมนุมเมื่อวันที่ 14 ต.ค. 63 ซึ่งราษฎรมีการเดินขบวนจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไปยังทำเนียบรัฐบาล โดยคดีนี้มี ศรายุทธ สังวาลย์ทอง และ พ.ต.ท.พิทักษ์ ลาดล่าย เป็นผู้กล่าวหา

>> “น.ศ.มหิดล” มอบตัวคดี ม.110 หลังร่วมม็อบระหว่างขบวนเสด็จ ด้าน “เอกชัย” ถูกจับ เตรียมขอฝากขังพรุ่งนี้

>> จับเพิ่มรายที่สาม – นักกิจกรรมเยาวชน ขณะจะเข้ามอบตัวคดี “ประทุษร้ายเสรีภาพราชินี” เหตุร่วม #ม็อบ14ตุลา

>> อัยการยังไม่รับสำนวนคดี ม.110 “ประทุษร้ายเสรีภาพราชินี” หลังมีผู้ต้องหาเพิ่มอีก 2 ราย

ผู้ต้องหาทั้งห้าได้ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมและได้ขอให้พนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้องคดี โดยให้เหตุผลว่าพนักงานสอบสวนปรับใช้ข้อกฎหมายไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง และให้เหตุผลประกอบ ดังนี้

1. ผู้ต้องหาทั้งห้าไม่ทราบมาก่อนว่า ในวันที่ 14 ต.ค. 63 นั้นจะมีขบวนเสด็จผ่านบริเวณทำเนียบรัฐบาล  ผู้ต้องหามิได้จงใจในการขัดขวางขบวนเสด็จหรือจงใจประทุษร้ายเสรีภาพของพระราชินีแต่อย่างใด ผู้ต้องหาที่สองและสามนั้นเพียงแต่มารอการมาถึงของขบวนของคณะราษฎรที่ออกเดินทางมาจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยและยังเดินทางมาไม่ถึงทำเนียบรัฐบาล

2. โดยปกติเวลามีขบวนเสด็จดำเนินผ่านเส้นทางใดนั้น จะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจดูความปลอดภัย และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวทราบ เพื่ออยู่ในความสงบหรือนั่งลง อย่างไรก็ตามในวันและเวลาเกิดเหตุนั้น ไม่มีเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ให้ทราบถึงการดำเนินผ่าน 

ประกอบกับบนสะพานชมัยมรุเชษฐ์นั้นยังมีรถตำรวจนำมาจอดในลักษณะชิดกัน เหลือช่องทางจราจรเพียงหนึ่งช่องทาง แต่เจ้าหน้าที่ก็ได้มีการเตรียมแผงเหล็กมากั้นเพื่อปิดเส้นทางสะพานชมัยมรุเชษฐ์ ลักษณะเป็นการปิดกั้นเส้นทางมากกว่าการเปิดเส้นทางการจราจรเพื่อขบวนเสด็จ  ผู้ชุมนุมที่อยู่ในบริเวณดังกล่าวเข้าใจว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจมีความประสงค์จะสลายหรือปิดกั้นการชุมนุม

3. การกระทำของเจ้าหน้าที่ ซึ่งทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยของบวนเสด็จนั้น อาจกระทำการปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ด้วยการงดเว้น ตามมาตรา 59 วรรคท้าย “การกระทำ ให้หมายความรวมถึงการให้เกิดผลอันหนึ่งอันใดขึ้นโดยงดเว้นการที่จักต้องกระทำเพื่อป้องกันผลนั้นด้วย” เนื่องจากไม่ได้กระทำเพื่อป้องกันและอารักขามิให้ขบวนเสด็จต้องเสี่ยงต่ออุปสรรคในการดำเนินหรือภยันตรายใดๆ   

เมื่อทราบว่ามีผู้ชุมนุมอยู่ในบริเวณดังกล่าว เจ้าหน้าที่นั้นก็ไม่เปิดเส้นทางการจราจรให้กว้างขวางเพื่อให้ขบวนเสด็จสามารถดำเนินผ่านไปได้โดยสะดวกรวดเร็ว และไม่มีการประชาสัมพันธ์ให้ผู้ชุมนุมทราบแต่ใช้วิธีการที่ขึงขังและรุนแรงจนผู้ชุมนุมเข้าใจว่าจะสลายการชุมนุม

4. อย่างไรก็ตามข้อเท็จจริงปรากฎว่าขบวนเสด็จนั้นสามารถดำเนินผ่านเส้นทางหน้าทำเนียบรัฐบาลไปยังแยกนางเลิ้งได้โดยไม่ได้เกิดภยันอันตราย เพียงแต่ไม่สามารถดำเนินไปได้อย่างรวดเร็วเพราะมีผู้ชุมนุมใช้พื้นที่ร่วมกันอยู่ โดยเจ้าหน้าที่ไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าใดๆ และยังเป็นผลจากขบวนรถตู้ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำการปิดกั้นจนเหลือช่องทางจราจรเพียงช่องทางเดียว

5. การที่ดำเนินคดีนี้เป็นการตั้งข้อกล่าวหาที่ร้ายแรงกว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง หากพนักงานอัยการพิจารณาสั่งฟ้องคดีอาจทำให้กระบวนการยุติธรรมกลายเป็นเครื่องมือทางกฎหมายในการจำกัดเสรีภาพการชุมนุมซึ่งแสดงโดยสงบและปราศจากอาวุธ 

การแจ้งความดำเนินคดีนี้เป็นไปโดยมีเจตนาหวังจะใช้กระบวนการยุติธรรมทางอาญาเป็นเครื่องกำบังตนเพื่อจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุม เพื่อหวังผลในการปิดปาก ซึ่งเรียกการปิดปากชนิดนี้ว่า Strategic Lawsuits Against Public Participation (SLAPP) การใช้วิธีการเช่นนี้ทำให้ประชาชนขาดเสรีภาพในการแสดงออก เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และเสรีภาพในการชุมนุม ซึ่งถือเป็นคุณค่าสำคัญของระบอบประชาธิปไตย ทั้งยังสร้างความหวาดกลัวแก่ประชาชน เพื่อไม่ให้กล้าแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นปัญหาสาธารณะต่างๆ อีก อันเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง และเป็นการแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ต้องหาโดยไม่สุจริต 

6. การฟ้องคดีนี้ไม่เป็นประโยชน์แก่สาธารณชน ตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการสั่งคดีอาญาที่จะไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชน หรือจะมีผลกระทบต่อความปลอดภัยหรือความมั่นคงของชาติ หรือต่อผลประโยชน์อันสำคัญของประเทศ พ.ศ. 2554 กล่าวคือ การกล่าวหาและดำเนินคดีกับผู้ต้องหาในคดีนี้เป็นการปิดกั้นการใช้เสรีภาพอันชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ  

การฟ้องคดีนี้จึงไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชน  ทั้งขณะเกิดเหตุจนถึงปัจจุบัน ก็ไม่ปรากฏว่าได้เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบหรือความวุ่นวายในบ้านเมือง เพียงแต่เกิดความไม่สะดวกเมื่อมีการใช้พื้นที่สาธารณะร่วมกันเท่านั้น อย่างไรก็ตามสถานการณ์ดังกล่าวเป็นกรณีที่เจ้าหน้าที่ต้องตรวจสอบผู้มีหน้าที่ในการรักษาความปลอดภัย มิใช่มุ่งเอาผิดผู้ชุมนุมและประชาชนที่ใช้พื้นที่ดังกล่าว

นอกจากนั้นยังขอให้สอบพยานเพิ่มเติมเพื่อประโยชน์แห่งคดี อีก 3 ปาก ได้แก่

1. หน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการถวายความปลอดภัยขบวนเสด็จ เพื่อตรวจสอบประเด็นว่า

  • มีระเบียบที่เกี่ยวข้องในการถวายความปลอดภัยขบวนเสด็จอย่างไร 
  • เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบในการรักษาความปลอดภัยในวันดังกล่าวคือใคร ได้ปฏิบัติการตามระเบียบดังกล่าวหรือไม่
  • เหตุใดจึงมิได้มีการประชาสัมพันธ์เส้นทางขบวนเสด็จให้ผู้ที่อยู่ในเส้นทางทราบ
  • เหตุใดจึงนำรถตู้มาปิดกั้นเส้นทางจราจรเหลือเพียงช่องทางเดียว เมื่อทราบว่าหากเส้นทางดังกล่าวเป็นเส้นทางเสด็จ

2. นางสาวสุทธวรรณ สุบรรณ ณ อยุธยา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผู้อภิปรายถึงข้อบกพร่องในรักษาความปลอดภัยของขบวนเสด็จ วันที่ 26 ต.ค. 63 เพื่อให้การในประเด็นว่าการรักษาความปลอดภัยในวันดังกล่าวมีข้อผิดพลาดอย่างไร

3. สื่อมวลชนที่ทำหน้าที่ในวันเวลาสถานที่เกิดเหตุได้รับแจ้งก่อนว่าจะมีขบวนเสด็จผ่านเส้นทางดังกล่าวหรือไม่อย่างไร

คดีนี้พนักงานอัยการนัดฟังคำสั่งว่าจะฟ้องผู้ต้องหาทั้งห้าต่อศาลหรือไม่ในวันที่ 25 ก.พ. 64 ที่จะถึงนี้

X