24 กุมภาพันธ์ 2563
นับเป็นวันที่ 6 แล้วนับตั้งแต่ “นิรนาม_” ผู้ใช้ทวิตเตอร์ที่วิพากษ์วิจารณ์เรื่องสังคมการเมืองไทย และมีผู้ติดตามนับแสน ถูกควบคุมตัวมาที่สภ.เมืองพัทยา ก่อนถูกคุมขังในเรือนจำพิเศษพัทยา เนื่องจากศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว ด้วยเหตุ “เป็นคดีร้ายแรง”
นับเป็น 5 คืน อันยาวนานที่พ่อกับแม่ของเขา ไม่เคยยิ้มได้อีกเลย จะว่าไป ตั้งแต่เราไปเจอพวกเขาครั้งแรก รอยยิ้มไม่เคยปรากฏแม้สักครั้ง
สำหรับชาวทวิตเตอร์ นิรนามคือแอคเคาท์ที่ไม่มีใครรู้จักหน้าค่าตา แต่มีผู้ติดตามเนื้อหาที่เขานำเสนอมากมาย แต่สำหรับพ่อแม่ เขาคือลูกชายวัยรุ่น อายุเพิ่งจะยี่สิบหมาดๆ
“เนิร์ดๆ ใส่แว่น ขี้โรค ชอบอ่านหนังสือ” เป็นคำที่พ่อใช้บอกเล่าถึงเขา
พ่อกับแม่ไปเยี่ยมลูกสองวันครั้ง เพราะพวกเขาไม่มีรถยนต์ส่วนตัว การจะเดินทางไปเรือนจำเป็นเรื่องลำบาก และมีค่าใช้จ่ายพอสมควร อย่างต่ำก็ต้องเหมารถสองแถวครั้งละ 500 บาท
เช้าวันที่มายื่นประกันตัวรอบที่ 2 พวกเขาเดินเข้ามาที่ศาลจังหวัดพัทยาด้วยท่าทีอิดโรย แต่ท่าทีดูนิ่งขึ้นกว่าวันแรกที่ลูกถูกจับ บวกกับกำลังใจล้นหลามจากโลกออนไลน์ คล้ายได้จุดประกายว่าอย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ได้สู้อย่างโดดเดี่ยว
“ผมห่างกันกับลูกไม่เคยเกิน 7 วัน… ปกติผมร้องไห้ยาก เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ก็ไม่รู้จะเป็นยังไงแล้ว ถ้าต้องอยู่ยาว ผมจะขายบ้านแล้วย้ายไปอยู่ข้างเรือนจำ” คนเป็นพ่อบอกด้วยตาแดงก่ำ คิ้วขมวดเป็นโบว์ไม่คลาย
“ลูกเป็นภูมิแพ้อย่างหนักด้วย อาบน้ำเย็นไม่ได้ ผมเป็นห่วงเรื่องสุขภาพเขา”
ส่วนแม่นั่งนิ่งเงียบ มือสองข้างประสานกันแน่นอยู่บนตัก
จาก 1 แสนบาท แต่ไม่ได้รับอนุญาต ทำให้ต้องยื่นประกันตัวซ้ำรอบที่สอง โดยเพิ่มวงเงินเป็น 500,000 บาท ที่ได้จากการระดมทุนจากโลกออนไลน์ในเวลาไม่กี่วัน พ่อเข้าไปนั่งรอฟังคำสั่งในห้อง ท่ามกลางการรอคอย ไม่มีใครกล้ารับปากอะไรกับพ่อทั้งนั้น ไม่มีใครกล้าคาดเดาอะไรทั้งสิ้น
เมื่อมีประกาศเรียกให้ไปฟังคำสั่ง ศาลยืนยันซ้ำว่าไม่อนุญาตให้ประกันตัว
พ่อตาแดงก่ำ หลังเล็กงองุ้ม น้ำตาไหลเงียบๆ อยู่ตรงนั้น
ระหว่างนั้นทีมทนายความแยกไปพบ “นิรนาม” ที่เรือนจำ เหล่าเพื่อนๆ ไม่สามารถเข้าพบเขาได้ เนื่องจากกฎระเบียบข้อจำกัดในการเข้าเยี่ยม
“นิรนาม” ใส่เสื้อเยี่ยมญาติหมายเลข 34 เดินออกมาจากแดนแรกรับ หลังจากที่ฟังว่าทุกคนกำลังทำอะไรเพื่อเขาอยู่ข้างนอก เขาก็ยิ้ม ไม่ได้มีท่าทางอิดโรย กินข้าวได้ อาบน้ำได้
“เริ่มหัดอาบน้ำเย็นได้แล้ว เริ่มมีเพื่อนบ้างแล้ว”
เขาฝากบอกถึงพ่อ
เมื่อทราบเรื่องยืนยันไม่ให้ประกันครั้งที่ 2 ทีมทนายความเร่งรุดเดินทางกลับยังศาลจังหวัดพัทยา เพื่อให้ทันยื่นอุทธรณ์คำสั่งให้เร็วที่สุด
มาถึงศาล เจอพ่อกับแม่นั่งรออยู่ด้วยตาแดงก่ำ พร้อมกับเพื่อนนิรนามนั่งเกาะกลุ่มให้กำลังใจ พวกเขาเองก็ตาแดงๆ เช่นเดียวกัน
ยื่นเอกสารไปแล้ว ทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้แล้ว ทุกอย่างเหลือเพียงแค่รอ พ่อยิ้มเล็กน้อยเมื่อได้ยินว่า น้องหัดอาบน้ำเย็นได้แล้ว
เหล่าเพื่อนนิรนามที่คอยนั่งปลอบใจพ่อแม่อย่างไม่มีเหน็ดเหนื่อย นั่งกุมมืออันเย็นเฉียบของแม่ พูดคุยอยู่เป็นเพื่อน
มองดู หลังเล็กๆ นั้น ค้อมต่ำลงเรื่อยๆ
“หนูไม่รู้ว่าหนูทำถูกหรือเปล่า เพื่อน (หมายถึง “นิรนาม”) เหมือนห่างออกไปทุกที วันก่อนหนูยังเจอเขาระหว่างซี่กรงห้องขัง แต่ก็ยังจับตัว เห็นหน้าเขาได้ ยังนัดกันเลยว่าเขาออกมาแล้วไปเที่ยวกัน วันต่อมาเขาก็อยู่ไกลในห้องขังต้องคุยผ่านโทรศัพท์ มาตอนนี้ เขาอยู่เรือนจำ หนูเข้าไปเจอเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ”
เพื่อนเองยังขนาดนี้ พ่อแม่จะขนาดไหน
ทุกคนแยกย้ายกันนั่งนิ่งเงียบ กับกระบวนการยุติธรรมที่ไม่เอื้อให้ใครกล้าหวังและคาดเดาอะไรได้มากนัก
ด้วยการดำเนินการฉับไวของเจ้าหน้าที่ศาล จากที่ยื่นอุทธรณ์คำสั่งเหมือนก่อน ต้องรอถึง 3 วัน กว่าจะรู้ผล ครั้งนี้ เจ้าหน้าที่แจ้งว่าให้รอคำสั่งได้ในวันนั้นเลย
ช่วงระยะตั้งแต่บ่ายโมงหลังยื่นเรื่อง จนถึงบ่ายสามช่างยาวนาน นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ในศาล แม่ยังคงประสานมือกุมกันแน่น เพื่อนเองก็สีหน้าเหนื่อยอ่อน
จนกระทั่งเกือบห้าโมงเย็น เจ้าหน้าที่ประกาศเรียกชื่อพ่อเข้าไปฟังคำสั่งคนเดียว ไม่อนุญาตให้คนอื่นร่วมฟัง
พ่อเดินเข้าไปอย่างเร่งรีบ แม่และเพื่อนๆ ยืนเกาะกระจกอยู่ด้านหน้า ชะเง้อชะแง้มอง จนกระทั่งระเบิดน้ำตา ตอนเห็นพ่อเดินออกมาพร้อมมือซับน้ำตาและมีรอยยิ้ม
แม่เองก็ยิ้มกว้าง เป็นครั้งแรกที่เราเห็นรอยยิ้มของทั้งสอง
ส่วนเพื่อนเองก็กอดกันกลม ปล่อยโฮน้ำหูน้ำตาไหล
พ่อดำเนินการเอกสาร จับปากกามือสั่นด้วยความตื่นเต้น ทำอะไรไม่ถูก เวลาก็เร่ง เพราะศาลใกล้ปิดแล้ว
ในความร้อนรน หากก็เต็มล้นด้วยความดีใจ เมื่อในอีกชั่วโมงหนึ่งข้างหน้า พวกเขาก็จะได้เจอลูกชายแล้ว
ไม่เต็มหน้านัก, แต่รอยยิ้มของพ่อกับแม่ก็คืนกลับมา.