5 ปีที่ไม่มี สุรชัย แซ่ด่าน: “ป้าน้อย” ปราณี ด่านวัฒนานุสรณ์

วันที่ 26 พ.ค. 2567 ที่หอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนจัดกิจกรรมปิดนิทรรศการ “วิสามัญยุติธรรม” เนื่องในโอกาสครบรอบ 10 ปี การรัฐประหาร และ 10 ปี ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน โดยมี ปราณี ด่านวัฒนานุสรณ์ หรือ ป้าน้อย เป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมกิจกรรม “TRUTH TALK” มีเนื้อหาดังต่อไปนี้

3 ผู้ลี้ภัยถูกบังคับสูญหาย-ไร้การช่วยเหลือ ตร.ระบุ ไม่พบศพและไม่มีการฆาตกรรมเกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น

“สวัสดีค่ะ ท่านผู้มีเกียรติ ผู้รักประชาธิปไตยและต่อต้านเผด็จการที่เคารพรักทุกท่าน ดิฉันนางปราณี ด่านวัฒนานุสรณ์ หรือป้าน้อย เป็นภรรยาของนายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ สุรชัยชื่อเดิมว่า สุรชัย แซ่ด่าน เป็นคน อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช เกิดเมื่อวันที่ 24 ต.ค. 2485 อาชีพเดิม ช่างซ่อมวิทยุโทรทัศน์ จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช สาขารัฐศาสตร์

“สุรชัยติดคุกมาแล้ว 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2524 – 2539 รวมเวลาที่อยู่ในเรือนจำ 16 ปี ครั้งที่สองระหว่างปี พ.ศ. 2554 – 2556 รวมเวลาประมาณ 3 ปี”

ป้าน้อยเล่าว่า สาเหตุที่สุรชัยต้องลี้ภัยเนื่องจากเกิดการรัฐประหารโดยประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อปี 2557 สุรชัยไม่ยอมจำนนต่ออำนาจเผด็จการ ถูกคดีร้ายแรงต่าง ๆ ก็ไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศ แต่ยังทำกิจกรรมต่อต้านเผด็จการ เช่น การเขียนบทความวิพากษ์วิจารณ์ผ่านทางไลน์ และการจัดรายการผ่านช่องยูทูป ชื่อรายการ “ปฏิวัติประเทศไทย กับ สุรชัย แซ่ด่าน” ทำเกือบ 5 ปีของการลี้ภัย 

ต่อมาได้ถูกบังคับสูญหายไปจากบ้านพัก พร้อมกับเพื่อนผู้ลี้ภัยอีก 2 คนคือ สหายภูชนะและสหายกาสะลอง เมื่อวันที่ 12-13 ธ.ค. 2561 ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่นายประยุทธ์ จันทร์โอชาและคณะรัฐมนตรี เดินทางไปประชุมร่วมไทย-ลาว ระหว่างวันที่ 13-15 ธ.ค. 2561 โดยป้าน้อยและเพื่อนฝูง ตลอดจนผู้ลี้ภัยที่อยู่ใกล้เคียงกัน ก็ไม่สามารถติดต่อบุคคลทั้งสามได้ตั้งแต่แต่วันนั้นเป็นต้นมา

ปลายเดือน ธ.ค. 2561 มีข่าวชายนิรนามสามคนถูกฆาตกรรมอย่างโหดร้ายทารุณมาเกยขึ้นที่ริมแม่น้ำโขง บริเวณท่าน้ำสามอำเภอที่ จ.นครพนม โดยแต่ละศพขึ้นห่างกัน 50-70 กิโลเมตร ศพแรกขึ้นเมื่อเย็นวันที่ 25 ธ.ค. และหายไปตอนเช้าของวันที่ 26 ธ.ค. อีกสองศพขึ้นเมื่อวันที่ 27 ธ.ค. และ 29 ธ.ค. ที่ท่าน้ำอำเภอธาตุพนม และ อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม ซึ่งมีการพิสูจน์อัตลักษณ์จากญาติของคนที่หายไป ปรากฏว่าเป็นสหายภูชนะ หรือชัชชาญ บุปผาวัลย์ อีกศพที่ขึ้นมื่อวันที่ 29 ธ.ค. ก็พิสูจน์แล้วว่าเป็นสหายกาสะลอง หรือ ไกรเดช ลือเลิศ ที่หายไปพร้อมกันจากบ้านพัก ป้าน้อยจึงมั่นใจว่าศพแรกที่หายไปคือศพของ สุรชัย แซ่ด่าน

ป้าน้อยจึงไปแจ้งความในท้องที่ที่ศพหาย ที่ สภ.ท่าอุเทน และไปยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมกับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ไปให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ UN ประจำประเทศไทย รวมทั้งไปยื่นหนังสือขอ

ความเป็นธรรมที่สำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ด้วย

ต่อมาป้าน้อยได้รับการติดต่อจาก DSI แจ้งว่า ขอให้ญาติเข้าใจในข้อจำกัดของการทำงานของเจ้าหน้าที่ เพราะเหตุเกิดที่ต่างประเทศ ซึ่งป้าน้อยก็พยายามจะเข้าใจ หลังจากนั้นป้าน้อยได้ไปขอความช่วยเหลือเยียวยาเบื้องต้นกับกรมคุ้มครองสิทธิฯ ก็ไม่ได้รับความช่วยเหลือ เพราะว่าไม่ได้เข้าข่าย เนื่องจากไม่ได้มีหลักฐานการเสียชีวิต หลายครอบครัวที่สูญหายไปแล้วหาศพไม่เจอก็มีลักษณะเดียวกัน

ส่วนตำรวจในท้องที่ที่ไปแจ้งว่าศพสุรชัยหายไป ก็ได้ทำสำนวนปิดคดีไปเมื่อปลายปี 2562 โดยระบุว่าไม่มีศพขึ้นที่ท่าน้ำบ้านท่าจำปา อ.ท่าอุเทน และไม่มีการฆาตกรรมเกิดขึ้นในท้องที่นั้น ในช่วงเวลานั้น

ความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นกับนักโทษคดีการเมืองและผลกระทบที่ตามมา

“ผลกระทบที่ดิฉันและครอบครัวต่าง ๆ ได้รับ ก็คงจะเหมือนกัน ตั้งแต่มีคนในครอบครัวไปแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ก็จะถูกลิดรอนสิทธิ ละเมิดสิทธิ ตั้งข้อหาร้ายแรงกว่าความเป็นจริง และไม่ให้ประกันตัว ถ้าให้ประกันตัวก็จะตั้งราคาสูง ที่ศาลตัดสินชั้นต้นไปก็อาจจะยืนพื้นอยู่เหมือนเดิม หรืออาจจะโทษเพิ่มกว่าเดิม”

“สำหรับดิฉัน คดีที่ร้ายแรงคือบุคคลในครอบครัวสูญหายไป แล้วยังไม่เจอศพ ก็ยิ่งมีความทุกข์กว่าบุคคลที่ยังเห็นลูกหลานอยู่ในเรือนจำแล้วไม่ได้รับการประกันตัว มีความเศร้าโศกเสียใจ ห่วงใย เป็นห่วง กินไม่ได้นอนไม่หลับ เครียด และบุคคลเหล่านั้นก็เป็นกำลังหลักของครอบครัว เป็นหัวหน้าของครอบครัว ความยากลำบากในการใช้ชีวิตประจำวันก็ไม่มีค่าใช้จ่ายพอ เพราะว่ายังมีหนี้สินทั้งในระบบ นอกระบบ ค่าใช้จ่าย แล้วรายรับลดน้อยถอยลง จึงเป็นเรื่องที่เป็นความเดือดร้อนอย่างมาก”


สำหรับป้าน้อยเองยังมีหนี้กับทางรัฐคือ คดีที่ศาลพัทยา ที่สุรชัยถูกกล่าวหาว่าไปร่วมชุมนุมล้มการประชุมอาเซียน ร่วมกับพวกอีก 18 คน ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริงการประชุมเสร็จสิ้นแล้ว และสุรชัยก็ตามไปทีหลังอีกวันหนึ่ง สุรชัยต้องการทำความจริงให้ปรากฏ โดยการบอกกับทุกคนว่า ความจริงสุรชัยถูกกักตัวโดยตำรวจควบคุมฝูงชนอยู่ที่ชายทะเลด้านล่าง ซึ่งห่างไกลจากโรงแรมมาก 

สุรชัยยังถูกดำเนินคดีและถูกปรับเพราะไม่มาขึ้นศาลครั้งที่ 4 โดยในครั้งที่ 1, 2 และ 3 สุรชัยยังมาขึ้นศาลอยู่ ซึ่งเป็นช่วงที่เขาถูกขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ส่วนครั้งที่ 4 สุรชัยได้ลี้ภัยไปแล้ว จึงไม่สามารถมาขึ้นศาลได้ ศาลจึงสั่งปรับ 5 แสนบาท 

หลังสุรชัยทราบข่าวจึงได้ประสานกับนายประกันให้ไปทำเรื่องขอผ่อนจ่ายให้ต่ำที่สุด เพื่อที่จะไม่เป็นภาระที่หนักอึ้งสำหรับป้าน้อยและนายประกัน ศาลรับเรื่องเมื่อต้นปี 2561 และได้มีคำสั่งให้นายประกันจ่ายค่าปรับเดือนละ 3,000 บาท ซึ่งตอนนี้ก็ยังต้องจ่ายอยู่ รวมเวลาเกือบ 6 ปีแล้ว ก็ยังไม่มีท่าทีว่าศาลจะสั่งให้หยุดจ่ายเมื่อไหร่ ซึ่งเป็นความทุกข์ยากของป้าน้อย เพราะปกติรายได้มาจากสุรชัยที่ได้ไปขายหนังสือ ขายหมวก และไปเป็นวิทยากรทางการเมือง หากใครวานหรือช่วยค่าใช้จ่ายให้ไปช่วยให้ความรู้ทางด้านการเมืองก็จะไป

“ความตั้งใจของคุณสุรชัยก็คือ เมื่อมีการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินใหม่ เขาก็จะได้กลับบ้าน และทุก ๆ คนจะได้รับการนิรโทษกรรมคดีการเมือง ทุกคนจะได้กลับไปอยู่กับครอบครัว คุณสุรชัยก็ประเมินไว้อย่างนั้น ว่าจะได้กลับมา และมาแก้ต่างความผิดที่ถูกแจ้งความเท็จ คดีที่ไปล้มประชุมอาเซียน และอยากจะเขียนหนังสือ ติดคุกครั้งที่ 2 ก็เขียนไว้แล้ว 2 เล่ม ยังไม่ทันจะได้พิมพ์ออกมาเผยแพร่ก็ลี้ภัยซะก่อน พอลี้ภัยแล้วก็อยากจะกลับมาเขียนเรื่องที่ไปลี้ภัยว่า 5 ปีนั้นมีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเองบ้าง อยากมาทำโรงเรียนการเมือง ทำวิทยุออนไลน์ให้ความรู้กับเยาวชนและผู้ที่สนใจ 

“อีกสิ่งหนึ่งที่คุณสุรชัยอยากจะช่วยเหลือส่วนรวมก็คือ ด้านผลผลิตทางการเกษตรที่ถูกกดราคาโดยพ่อค้าคนกลาง หรือว่าทุนผูกขาด อยากจะมาเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างท้องถิ่น ในจังหวัดต่าง ๆ แต่ละภาค ให้ได้แลกเปลี่ยนโดยตรงหรือว่าซื้อขายกันโดยตรง ในราคาที่เป็นธรรม หรือถ้าเป็นพ่อค้าคนกลางก็ควรจะซื้อในราคาที่เป็นธรรม ไม่ต้องกดราคาเหมือนก่อน

“ความฝันอีกอย่างหนึ่งของคุณสุรชัยที่เป็นเรื่องส่วนตัว ที่ดิฉันอยากแบ่งปัน คุณสุรชัยได้ฝากดิฉันไว้นานแล้ว ก่อนที่จะมีการรัฐประหารปี 2549 เสียอีก เวลาไปเช็งเม้งที่หลุมศพของพ่อ-แม่ และน้องชายแกที่สวนปาล์มที่ จ.ตรัง เขาก็จะพูดบอกดิฉันว่า ถ้าเราตาย ให้เอาเถ้ากระดูกของเราไปไว้ใกล้ ๆ กับพ่อ-แม่ และน้องชายของเรานะ พอถึงตอนนี้มันยิ่งทำให้ดิฉันเกิดความหดหู่ เพราะว่าแม้แต่ศพก็ไม่เห็น แต่ก็จะสานต่อค่ะ จะทำฮวงซุ้ยไว้ใกล้ ๆ กับพ่อ-แม่ และน้องชายของแก อย่างน้อยก็เป็นสัญลักษณ์ แล้วก็จะทำทุกอย่าง ในสิ่งที่แกต้องการ ถึงแม้ว่าในความเป็นจริงมันทำไม่ได้มาก แต่อย่างน้อยก็เป็นสัญลักษณ์ว่า แกได้ทำประโยชน์อะไรให้กับบ้านกับเมือง เป็นคนร้ายคนชั่วตามที่ทางการได้กล่าวหาหรือไม่”

“ทุกครั้งที่แกได้ขึ้นศาลทหาร ไม่มีการอุทธรณ์ ฎีกา ไม่รับฟังพยานฝ่ายจำเลย ขนาดจวนผู้ว่าฯ อยู่ห่างจากที่แกอยู่ตั้ง 7 กิโลเมตร (คดีที่ถูกจำคุกในช่วงปี 2524-39) แกก็จะพูดติดตลกอยู่เป็นประจำว่า ก้านไม้ขีดอะไรยาวถึง 7 กิโลเมตร แกไปอยู่อีกที่หนึ่ง จวนถูกไฟไหม้ เขาก็มาให้แกเป็นคนเผา พยานฝ่ายโจทก์ก็จะบอกว่าสุรชัยขาดี ตอนนั้นแกถูกรถชนแล้วใช้ไม้ค้ำยัน แม้แต่แพทย์บอกว่า สุรชัยเดินไม่ได้ ศาลทหารก็ไม่เชื่อ ทั้งปล้นรถไฟ ฆ่าเจ้าหน้าที่ ศาลไม่เชื่อ เชื่อฝ่ายพยานโจทก์อย่างเดียว”


ส่งต่อกำลังใจให้ฝ่าย ปชต. ขอให้ยึดมั่นต่อไป อย่าได้ละทิ้งอุดมการณ์

ป้าน้อยกล่าวว่า ตนอยากจะบอกเล่าและขอรับกำลังใจจากทุกท่าน และอยากให้ทุกท่านได้รับกำลังใจจากตนเช่นกัน แม้ทุกท่านจะได้รับผลกระทบไม่มากเท่ากับคนที่ต้องสูญเสียคนในครอบครัวไป อย่างน้อย ๆ ทุกท่านก็ต้องได้รับผลกระทบในด้านอาชีพการงาน ธุรกิจ เศรษฐกิจในครัวเรือน หนี้สาธารณะ ที่ประเทศไทยมีรัฐประหารมา 10 กว่าครั้ง หนี้สาธารณะก็เพิ่มมากขึ้นจนไม่รู้กี่สิบเท่า จนไม่รู้ว่ารุ่นลูก รุ่นหลานของเราจะใช้หนี้หมดหรือไม่

“คนที่ได้เสียสละ ได้เสียชีวิตมา อย่างน้อย ๆ ก็ตั้งแต่เหตุการณ์ 14 ตุลา 2516, 6 ตุลา 2519, พฤษภา 2553 และหลาย ๆ ครั้ง รวมทั้งน้อง ๆ ที่ทำกิจกรรมและโดนคดีต่าง ๆ โดนละเมิดสิทธิ ไม่ได้รับการประกันตัว พิจารณาโทษสูงเกินจริง สมัยสุรชัยติดคุกคดีมาตรา 112 ตอนนั้นโทษ 5-15 ปี ศาลตัดสินคดีละ 5 ปี ตอนนี้ตัดสินคดีละ 10 ปีค่ะ 


“ผู้รักประชาธิปไตยอยากจะสานต่อหรือว่ายังมีอุดมการณ์แน่วแน่ ยังมีความศรัทธาเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย ก็ขอให้ยึดมั่นต่อไป อย่าได้ละทิ้งอุดมการณ์ เหมือนกับผู้ที่ได้เสียสละแม้ชีวิตและอิสรภาพ คนล่าสุดก็ขอพูดถึงน้องบุ้ง เนติพร น้องบุ้งได้เขียนจดหมาย ดิฉันได้อ่าน จำได้ว่าน้องบุ้งเปรียบเทียบผู้รักประชาธิปไตยทุกคนเป็นไม้ซีก เผด็จการเป็นไม้ซุง น้องบุ้งบอกว่าอย่าได้หมดกำลังใจ ขอให้รวมพลังกัน และสักวันนึง แม้จะไม่ได้ในรุ่นของเรา รุ่นลูก รุ่นหลานอาจจะสำเร็จ ไม้ซีกรวมกันก็อาจจะล้มไม้ซุง แล้ววันที่เราได้ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ก็จะเกิดขึ้นค่ะ 

“เมื่อท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ ประชาชนย่อมเป็นใหญ่ในแผ่นดิน ขอบพระคุณค่ะ”


 .

X