วันที่ 13 ก.ย.60 ศาลมณฑลทหารบกที่ 37 นัดสืบพยานโจทก์ในคดีของนายสราวุทธิ์ (สงวนนามสกุล) ช่างตัดแว่นตาพ่อลูกอ่อนในจังหวัดเชียงราย ข้อกล่าวหาตามมาตรา 112 และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 โดยเป็นการตอบการถามค้านของทนายจำเลยต่อจากการสืบพยานนัดก่อนหน้านี้
หลังจากในนัดก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 12 มิ.ย.60 อัยการทหารได้นำพยานโจทก์ปากแรกขึ้นเบิกความ และได้ตอบคำถามอัยการโจทก์จนเสร็จสิ้น แต่ต้องเลื่อนการถามค้านของทนายจำเลยออกไป เนื่องด้วยช่วงบ่ายพยานติดราชการ ต้องเดินทางไปต่างจังหวัด แม้ศาลได้มีการนัดหมายสืบพยานปากนี้ต่อเมื่อวันที่ 13 ก.ค.60 แต่ก็ได้มีการเลื่อนการสืบออกไปอีก เนื่องจากพยานติดราชการ ไม่สามารถมาศาลได้
ในวันนี้ อัยการได้นำพยานโจทก์คือพันโท อิสสระ เมาะราษี เจ้าหน้าที่ทหารฝ่ายข่าวของมณฑลทหารบกที่ 37 และเป็นผู้กล่าวหาจำเลย เข้าตอบการถามค้านทนายจำเลยจนเสร็จสิ้น โดยพยานได้ตอบการถามค้านของทนายความจำเลย ใน 3 ประเด็นหลัก ได้แก่
ประเด็นที่ 1 พยานเป็นผู้ได้รับรายงานจากผู้ใต้บังคับบัญชาถึงเหตุในคดีที่เกิดขึ้นเท่านั้น มิใช่เจ้าหน้าที่ทหารผู้ที่ทำการบันทึกภาพหน้าจอ หรือจัดทำเอกสารทางคดีเอง แต่ได้รับมาจากผู้ใต้บังคับบัญชา อีกทั้งพยานไม่ทราบว่าผู้ใต้บังคับบัญชาจะมีสาเหตุโกรธเคืองส่วนตัวกับจำเลยหรือไม่ และยังไม่ได้อ้างตัวเจ้าหน้าที่ผู้ทำการบันทึกภาพหน้าจอและจัดทำเอกสารเข้ามาเป็นพยานในคดีแต่อย่างใด
ประเด็นที่ 2 หลักฐานภาพถ่ายหน้าจอที่ใช้ในการฟ้องร้องกล่าวหาจำเลยว่าได้กระทำความผิดมาตรา 112 และพ.ร.บ.คอมฯ มาตรา 14 นั้น ไม่ปรากฏ URL หรือที่อยู่ทางอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งๆ ที่หลักฐานชิ้นอื่นๆ ที่เป็นภาพถ่ายหน้าจอนั้นปรากฏ URL หรือที่อยู่ทางอิเล็กทรอนิกส์อยู่ด้วย อีกทั้งพยานไม่เคยสอบถามหรือตรวจสอบไปยังผู้ให้บริการเฟซบุ๊กว่าจำเลยได้ทำการโพสต์ตามที่ถูกกล่าวหาหรือไม่
ประเด็นที่ 3 นายสราวุทธิ์จำเลยในคดี เป็นผู้ที่ถูกเจ้าหน้าที่ทหารติดตามความเคลื่อนไหวทางโลกออนไลน์โดยตลอด ซึ่งก่อนเกิดเหตุในคดีนี้ จำเลยได้มีการโพสต์ข้อความทางโลกออนไลน์ที่มีการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลและทหารมาโดยตลอด แต่ภายหลังจากเกิดเหตุในคดีนี้ จำเลยมีการโพสต์ข้อความวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลและทหารลดน้อยลง
เมื่อเสร็จสิ้นการถามค้าน อัยการทหารแถลงหมดพยานโจทก์ที่จะนำสืบในวันนี้ คู่ความได้นัดหมายสืบพยานโจทก์ปากที่ 2 ในวันที่ 12 ต.ค.60 ต่อไป
สำหรับคดีนี้ จำเลยถูกกล่าวหาว่าเมื่อวันที่ 21 ก.ค.59 ได้โพสต์ภาพพระฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชในขณะนั้น จำนวน 2 ภาพเรียงต่อกัน โดยภาพหนึ่งเป็นภาพของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ในอิริยาบถเป็นการส่วนพระองค์ ลักษณะทรงยืนรับการถวายความเคารพจากเจ้าหน้าที่ คู่กับสุภาพสตรีไม่ทราบว่าเป็นบุคคลใด กับภาพด้านขวาที่ทับซ้อนกับภาพด้านซ้าย บางส่วนเป็นพระฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช พร้อมกับโพสต์ข้อความว่า “ทรงพระเท่มากพะยะค่ะ” ในบัญชีเฟซบุ๊กส่วนตัว
ต่อมา วันที่ 26 ส.ค.59 นายสราวุทธิ์ได้ถูกเจ้าหน้าที่ทั้งทหาร ตำรวจ และเจ้าหน้าที่จากปอท. เข้าตรวจค้นที่บ้านพัก พร้อมกับตรวจยึดเครื่องคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ และแฟลชไดรฟ์ไป หลังจากนั้นพนักงานสอบสวนได้มีการเรียกตัวนายสราวุทธิ์ไปแจ้งข้อกล่าวหาที่สภ.เมืองเชียงราย เมื่อวันที่ 11 ต.ค.59 ก่อนที่จะถูกนำตัวไปขออำนาจศาลทหารในการฝากขัง โดยนายสราวุทธิ์ไม่ได้รับการประกันตัวในช่วงแรก หลังจากญาติยื่นขอประกันตัวจำนวน 3 ครั้ง จนกระทั่งได้รับการประกันตัวในการยื่นครั้งที่ 4 ด้วยหลักทรัพย์ 1 แสนบาท หลังจากถูกคุมขังในเรือนจำรวม 38 วัน
สำหรับ นายสราวุทธิ์ ปัจจุบันอายุ 33 ปี เปิดกิจการรับตัดแว่นและขายแว่นสายตาในจังหวัดเชียงราย เขาและภรรยามีลูกด้วยกัน 2 คน คนโตอายุ 6 ปี และคนเล็กอายุ 1 ปี
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
คดี ม.112 “ช่างตัดแว่นตาเชียงราย” ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ขอต่อสู้คดีถึงที่สุด
ศาลทหารอนุญาตให้ประกันตัว ‘สราวุทธิ์ ช่างตัดแว่นเชียงราย’ คดีม.112 หลังนอนคุก 38 วัน