ชีวิตที่เปลี่ยนไปของแม่ค้าขายอาหารตามสั่ง หลังถูกฟ้องร่วมกันก่อการร้าย-อั้งยี่

“ไปสมัครงานไส เขากะบ่รับเพราะถูกมองว่ามีคดีติดตัว และพอเฮาบอกว่าอาจต้องขอลาวันที่ไปขึ้นศาล เขาแฮ่งปฏิเสธเฮาเลย” วาสนา บุษดี จำเลยคดีระเบิดศาลอาญากล่าวหลังได้รับการประกันตัว

วาสนา อายุ 51 ปี มีลูก 1 คน เป็นคน จ.มุกดาหาร ก่อนถูกดำเนินคดี ประกอบอาชีพเปิดร้านขายอาหารตามสั่งและเปิดร้านคาราโอเกะกับเพื่อนที่ อ.สะเดา (ด่านนอก) จ.สงขลา ซึ่งอยู่ติดกับประเทศมาเลเซีย  วาสนาเล่าว่าบางครั้งเธอข้ามฝั่งไปทำงานนวดแผนไทยที่มาเลเซีย เพราะเธอมีใบประกอบวิชาชีพนวดแผนไทย ช่วงนั้นถือเป็นช่วงรุ่งเรืองของชีวิตเธอ

วาสนาเปรียบเสมือนเสาหลักของครอบครัว เธอเป็นคนดูแลค่าใช้จ่ายทุกอย่างรวมถึงคอยส่งเงินให้พ่อแม่อยู่เสมอ แต่ชีวิตของเธอเริ่มเปลี่ยนผันเมื่อมีการทำรัฐประหารปี 2557 หลังจาก คสช.ประกาศเคอร์ฟิว ทำเปิดร้านช่วงกลางคืนไม่ได้ รายได้ของร้านน้อยลงค่าเช่าเท่าเดิม เธอจึงแบกรับค่าใช้จ่ายไม่ไหว ต้องปิดกิจการ กลับมาตั้งหลักที่ จ.มุกดาหาร ซึ่งพ่อและแม่ของเธออาศัยอยู่ และประกอบอาชีพรับซื้อตุ๊กแกไปขาย

ต่อมาวันที่ 12 มี.ค. 58 วาสนาถูกเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบทั้งทหารและตำรวจประมาณ 4 นาย ควบคุมตัวตามกฎอัยการศึกที่ จ.มุกดาหาร และถูกนำตัวไปสอบสวนในค่ายทหาร จ.นครพนม ประมาณ 4 ชั่วโมง ช่วงกลางดึกของวันเดียวกันเธอถูกเจ้าหน้าที่เอาผ้าปิดตาก่อนนำตัวไปที่ค่ายทหารอีกแห่งหนึ่ง เป็นเวลา 1 วัน ก่อนที่จะถูกนำตัวมาที่ กองพันทหารราบ มณฑลทหารบก ที่ 11 (พัน ร.มทบ.11) โดยถูกควบคุมตัวสอบสวน 7 วัน ทั้งนี้ระหว่างเดินทางเธอถูกปิดตาและได้ยินเจ้าหน้าที่บอกว่าไม่อยากให้รู้ว่าพามาที่ใด แต่ทราบว่าถูกสอบสวนที่ใดภายหลัง

วาสนาถูกดำเนินคดีจากเหตุการณ์ปาระเบิดที่บริเวณลานจอดรถศาลอาญา เมื่อ 7 มี.ค. 58 โดยเหตุการณ์นี้ถูกแบ่งฟ้องเป็น 2 คดี คดีแรกคือ คดีจ้างวานตระเตรียมก่อเหตุระเบิด โดยมีผู้ถูกฟ้อง 6 ราย ในข้อหาร่วมกันตระเตรียมการก่อการร้าย ร่วมกันมียุทธภัณฑ์ในครอบครอง ร่วมกันมีเครื่องกระสุนที่นายทะเบียนออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ และร่วมกันเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยใช้เครื่อง กระสุนที่นายทะเบียนออกใบอนุญาตให้ไม่ได้

และกลุ่มที่สองคือ กลุ่มปาระเบิด ซึ่งมีผู้ถูกฟ้องทั้งหมดรวม 14 ราย ในข้อหาร่วมกันก่อการร้าย, เป็นอั้งยี่, ร่วมกันพยายามฆ่า และร่วมกันก่อเหตุระเบิด วาสนาถูกฟ้องร่วมทั้งสองคดี โดยก่อนหน้านี้คดีนี้ถูกพิจารณาคดีที่ศาลทหาร เธอถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำเป็นเวลา 2 ปี 4 เดือน 3 วัน กับอีก 1 คืน ก่อนที่ศาลทหารจะอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว เมื่อวันที่ 20 ก.พ. 2560 ด้วยหลักทรัพย์คดีละ 500,000 บาท รวมสองคดีเป็นเงิน 1 ล้านบาท

ต่อมาคดีถูกโอนมายังศาลยุติธรรม ศาลมีคำสั่งให้ยื่นประกันใหม่อีกครั้ง และศาลอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวจำเลย ด้วยหลักทรัพย์คดีละห้าแสนบาท เช่นเดียวกับศาลทหาร วาสนากล่าวว่าข้อหาที่เธอถูกฟ้องรุนแรงเกินไป เพราะเธอไม่ได้ทำอะไรผิด วาสนายังกล่าวอีกว่า เธอไม่ได้รู้เรื่องหรือมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างที่ถูกกล่าวหา

.

ชีวิตที่เปลี่ยนไปหลังถูกดำเนินคดี

วาสนาเปิดเผยอีกว่า ในช่วงเธอถูกดำเนินคดีและยังไม่ได้รับการประกันตัว พ่อแม่ของเธอร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงและมีโรคประจำตัวอยู่แล้ว ประกอบกับวัยชรามาก จึงตกใจและกังวลมากเมื่อทราบว่าเธอถูกดำเนินคดี วาสนากล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “แม่ของพี่ตายตอนปี 2559 และพ่อตายตอนปี 2560 พี่รู้สึกเสียใจอยู่ตลอดเวลา ที่มางานศพของพ่อกับแม่บ่ได้ เพราะเฮาอยู่ในเรือนจำ เว่ามาแล้วมันจุก บ่คิดว่ามันสิกลายเป็นคดีคักป่านนี้ ชีวิตพี่เปลี่ยนไปเบิดเลย”

หลังจากพ่อแม่ของเธอเสียชีวิต เธอถูกคนรอบข้างมองว่าเธอคือคนที่ทำให้พ่อแม่เสียชีวิตเพราะตรอมใจ และนั่นยิ่งทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวด กลายเป็นตราบบาปในใจของเธอตลอดมา อย่างไรก็ตามวาสนายืนยันว่าเธอได้ไม่ได้ทำผิดอะไร ทั้งเรื่องคดีและเรื่องที่ถูกมองว่าเป็นต้นเหตุให้พ่อกับแม่เสียชีวิต เธอยังกล่าวอีกว่ากว่าจะผ่านช่วงชีวิตเหล่านั้นมาได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

ในช่วงที่เธอได้รับการประกันตัวแรกๆ วาสนาได้รับความช่วยเหลือจากคนที่รู้จัก ให้เธอและลูกชายมาทำงานรับจ้างทำอาหารและทำความสะอาดบ้านแถวพระราม 2 ด้วยเงินเดือนเก้าพันกว่าบาท ต่อมารายจ่ายเพิ่มขึ้น เธอจึงเปลี่ยนงาน โดยไปลองหาสมัครงานที่ใหม่ แต่การหางานสำหรับคนมีคดีติดตัวนั้นไม่ง่าย “ไปสมัครงานไส เขากะบ่รับเพราะถูกมองว่ามีคดีติดตัว และพอเฮาบอกว่าอาจจะต้องขอลา วันที่ไปขึ้นศาล เขาแฮ่งปฏิเสธเฮาเลย”

จากนั้นเธอได้รับความช่วยเหลือจากคนรู้จักอีกคนหนึ่ง ให้งานทำอาหารและดูแลร้านอาหารในย่านรามคำแหง เธอกับลูกชายย้ายมาเช่าห้องเล็กๆ ค่าเช่าเดือนละ 2,500 บาท ใกล้ที่ทำงาน แต่เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจไม่ดี ร้านอาหารที่เธอทำงานจึงปิดตัวลงในเวลาไม่นานนักหลังเธอเริ่มงาน เธอและลูกชายตกงานอีกครั้ง

ปัจจุบันลูกชายของเธอแยกไปหางานทำที่ใหม่ เธออาศัยเพียงลำพังในห้องเช่านั้น ตอนนี้สุขภาพของเธอไม่ค่อยดีนัก ต้องคอยไปหาหมออยู่เรื่อยๆ

 

ชีวิตหลังวิกฤตโควิด-19 (รายจ่ายไม่ได้ลดลง แต่รายได้ลดลงทุกวัน)

หลังจากวาสนาตกงาน ปลายปี 2562 เธอตั้งหลักชีวิตอีกครั้งด้วยการเช่าที่ในตลาดแถวหมู่บ้าน และทำอาหารขายในช่วง 05.00-10.00 น. แต่ตอนนี้ดูเหมือนสถานการณ์กลับซ้ำร้าย เมื่อรัฐบาลประกาศเคอร์ฟิวให้ประชาชนกักตัวเพื่อป้องกันโควิด-19 ทำให้คนเดินซื้อของน้อยลง จนกระทั่งเธอไม่มีเงินทุนไปซื้อของมาขายและไม่มีเงินค่าเช่าที่ขายของต่อ ประกอบกับช่วงเวลาเคอร์ฟิวกระทบต่อการซื้อของมาขายอีกด้วย

ปัจจุบันวาสนาทำอาหารขายในหมู่บ้านที่เธออาศัยอยู่ตามออเดอร์จากเพื่อนบ้าน ซึ่งเธอเป็นคนส่งเอง แต่นั่นเป็นเพียงรายได้น้อยนิดเท่านั้น ไม่เพียงพอต่อความจำเป็น  บางวันเธอได้อาศัยข้าวสารอาหารแห้งที่มีคนเอามาแจกให้ในช่วงโควิดเพื่อให้อยู่รอด เธอกล่าวว่ารู้สึกเครียดมาก เพราะหากสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้ต่อไป เธอไม่รู้จะหารายได้จากทางไหน ขณะที่ค่าใช้จ่ายไม่ได้ลดลงแต่รายได้ลดลงทุกวัน อีกทั้งในเดือน ส.ค. 63 นี้ ศาลยังนัดสืบพยานเกือบทั้งเดือน ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีค่าใช้จ่ายในการเดินทางและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ระหว่างการดำเนินคดี

พี่เครียดมากเพราะต้องหาเงินค่าเช่าห้อง ค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีกทั้งต้องหาเงินไว้สำหรับเดินทางไปขึ้นศาลอีก ตอนนี้พี่อยากมีเงินสักก้อน อยากซื้อเนื้อหมูมาขายในตลาดแถวหมู่บ้าน แต่พี่บ่มีเงิน บ่รู้สิเฮ็ดจังได๋” วาสนากล่าว

#TLHRJusticeDistancing

อ่านความคืบหน้าคดีของวาสนาได้ที่ คดีปาระเบิดศาลอาญา โอนจากศาลทหาร นัดพร้อมวันนี้ ศาลเรียกหลักประกัน 5 แสน
____________________________

หมายเหตุ: สามารถสมทบทุนช่วยเหลือวาสนาได้ที่ เลขบัญชี 908-00-55230 ธ.กรุงเทพ ชื่อบัญชี วาสนา บุษดี

 

X