Confusing Dreams and Blurred Confessions or a Play in The Insane Asylum
เรื่องสั้น โดย ปร.
.
หมายเหตุ จากคำชักชวนให้บอกเล่าประสบการณ์การถูกดำเนินคดีจากการแสดงออกทางการเมือง ศิลปินนักกิจกรรมผู้ถูกกล่าวหาดำเนินคดีจากการออกมาชุมนุมและทำงานศิลปะในช่วงปี 2563-65 เขียนออกมาเป็นเรื่องสั้นเชิงกระแสสำนึก กึ่งจริงกึ่งฝัน กึ่งกวีกึ่งบทละคร เช่นนี้
———————
[1]
ผมจำอะไรไม่ได้ด้วยซ้ำ –ทุกอย่างเลือนรางไปเสียหมด แม้กระทั่งความรู้สึกนึกคิดก็เริ่มจะจางหายไปทีละน้อย ผมพยายามจะหลับตานึกอยู่หลายครั้ง อย่างกับว่าความรู้สึกที่เคยเกิดขึ้นเป็นเรื่องโกหก และสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ตอนนี้เป็นเพียงเรื่องแต่ง ทุกอย่างทับซ้อนปลิ้นปล้อนดั่งคำมั่นสัญญาอันเป็นเจตนารมณ์แรงกล้าแต่ราวกับว่าไม่มีจริง, ผมรู้ตัวได้ก็ในตอนนี้นี่เองว่าทุกอย่างก็คือความฝัน,
ผมเหม่อ, เผลอนึกไปว่าผมมาที่นี่ทำไม? ….สัมปชัญญะไม่สู้จะสมประดี ในแววตาเริ่มจะมืดดับ ทั้งสองขาก็อ่อนแรงและทั้งสองตีนก็แทบจะยืนหยัดไว้ไม่ไหว จนไม่สามารถประคับประคองตัวเองเอาไว้ได้ ผมรู้สึกถึงสองมือที่สั่นสะเทือนจนเส้นเลือดบริเวณปลายนิ้วเย็นเยียบ ผมได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นเร็วเสียจนมันก้องกล่อมประสาทอยู่ในตัว –ผมได้แต่หายใจเข้าและถอนหายใจออกในห้วงเหวความรู้สึกเช่นนี้, ผมจึงเผลอคิดไปว่า “สองมืออันอ่อนแรง แม้สองตีนจะยังคงยืนหยัดอยู่” ของผมนี้จะไปต่อสู้ทัดทานอะไรได้อีก เปรียบเป็นภูเขาอันทรงภูมิพลังแกร่งกล้า ประหนึ่งปราการที่ไม่มีใครจะอาจหาญข้ามพ้นมันไปได้ ภูเขาซึ่งอยู่มาพร้อมกับโลกอันเก่าแก่นี้นะเหรอ? จะมีใครทระนงกังขามันได้ หรือ หากจะมีใครอหังการคิดกังขาถากถางภูเขานี้ก็คงสิ้นตายกลายเป็นซากผีไปเสียก่อนภูเขาอันทรงภูมิพลังแกร่งกล้านี้จะล้มล่มทลาย.
‘กึก.. กึกกึก… กึก.. กึกกึก… กึกกึกกึก’ เสียงแว่วหวีดหวิวของกระดิ่งโลหะเป็นจังหวะสาวเท้าในจังหวะเดินทีละคืบสองคืบ ได้ปลุกผมขึ้นจากภวังค์อันแหว่งเหวอะของอาการกึ่งหลับกึ่งตื่น –น่าขำนะ พอได้ทิ้งทวนแล้วผมเองก็นึกหัวเราะอยูในใจว่าความฝันในคืนนี้ช่างบัดซบเสียเหลือเกิน พลันจะข่มตานอนอีกครั้ง ผมก็เผลอคิดไปว่าผมน่าจะตายๆ ไปเสีย จะได้ไม่ต้องมาฝันซ้ำๆ เช่นนี้อีก,
———————
.
[2]
ผมเอามือขยี้แหกขี้ตาในตอนเช้า, ขับรถมอไซค์บนถนนหมายเลข 1 ผ่านทิวทัศน์ภูเขาตระหง่านตลอดแนวถนน ในขณะที่ใบหน้าปะทะลมเร็วจากความเร่งของรถที่ล้อกำลังหมุนเคลื่อน แต่ในห้วงสำนึกกลับอื้ออึงพลันกระอักสะอึกความนึกคิด ว่า การเดินทางอันยาวนานนี้มันจะจบจะสิ้นเอาตอนไหน ปลายสุดของถนนสายนี้ คือจุดหมายของอะไรกันแน่ แม้ผมจะเดินทางผ่านถนนสายนี้มาเป็นเวลานานแล้วก็ตาม แม้ผมจะรู้อยู่แก่ใจว่าในท้ายที่สุดของสุดเขตแดนถนนนี้จะไม่สามารถนำพาผมไปยังความมุ่งหมายที่ตั้งใจไว้ได้ก็ตาม แต่ผมก็ยังคงขับรถมอไซค์ผ่านถนนนี้
ผมละอายแก่ใจตัวเองจริงๆ –ในทิวทัศน์เดิม ผมยังคงขับผ่านมันทั้งในวันที่แดดร้อนเสียจนไม่อยากพบเจอหน้าใคร, ในวันที่ฝนปรอยจนเสื้อผ้าชื้นตัว และในคืนที่ความเศร้ากัดกินหัวใจจนเป็นบ้า นอนมองเพดานอย่างฅนไร้สติ ห่อม้วนตัวเองกับผ้านวมเหมือนแมลงดักแด้หนีความฝันในคืนมืดจนไม่ได้หลับไม่ได้นอน
เมื่อถึงเวลาเช้าเป็นสัญญาณของการเริ่มต้นธุระมาถึง ก็ต้องดีดตัวเองฉุดกระชากร่างเนื้อ กระโดดสะบัดตัวไปมาควานหา เสื้อผ้าที่กองเป็นพะเนินอยู่ตามพื้นห้อง สองมือหยิบจับเอาสิ่งของที่กระจัดกระจายเข้ากระเป๋า ถีบตัวเองออกจากห้องนอนวิ่งแจ้นไปยังลานจอดรถ บิดกุญแจติดเครื่องรถมอไซค์ขับออกไปบนถนนสายเดิมเพื่อพบปะผู้ฅนที่ปักหลักตามข้างทาง กระทั่งถึงจุดหมายก็พบเข้ากับสายตาละเหี่ยที่มองมาที่ผม, ในห้วงเฮือกใจเดียว ผมรู้ตัวอีกทีก็ล่วงเลยเวลานัดหมายไปเกือบชั่วโมงเสียแล้ว.
ผมจะต้องต่อสู้กับสายตาเช่นนี้นะเหรอ, ผมสารภาพเอาตามตรง ว่า ‘ผมไม่ทราบจริงๆ ว่าผมมาที่นี่ทำไม?’ ผมแค่ต้องมาเหมือนกับเป็นกิจวัตรทั่วไปอย่างกับการทำความสะอาดร่างกายในตอนเช้าเพื่อเตรียมความพร้อมในการไปพบปะฅนอื่นๆ อย่างกับการชำระล้างร่างกายให้สะอาดเหมาะสมเพื่อไม่ให้เป็นภาระทางมลพิษกับฅนอื่นๆ ….หลุดออกจากความคิด ผมก็นึกขึ้นได้ว่า พวกเขาเคยบอกว่า ‘นี่มันเป็นธุระของผมที่พวกเราจะต้องช่วยเหลือกันเพื่อผ่านพ้นมันไป นี่เป็นสุดความสามารถที่ฅนอย่างพวกเขาจะช่วยเหลือเกื้อกูลผมได้’
ในจังหวะที่ผมเดินเข้าไปยังอาคารตึก ผมเห็นพวกเขาในระยะสายตา ผมเดินใกล้เข้าไป ในจังหวะนั้นเองที่เขาบอกกับผมว่า “หากไม่พอใจอะไรก็ทำเรื่องขอเปลี่ยนตัวพวกเขาไปเสียก็ได้ อย่าทำให้ฅนอื่นเสียเวลากับธุระของตนเอง” ผมตะลึงตึงตังใจ ทำได้แต่นึกสงสัยกับตัวเองว่า ‘ที่นี่มันที่ไหนกันแน่ ทำไมทุกฅนถึงดูสง่ามีราคามากไปด้วยภาระหน้าที่การงานอันเป็นเกียรติเช่นนี้’ ผมมองไปรายล้อมรอบตัวก็เห็นว่าต่างฅนต่างยุ่งงุ่นง่านเดินเฉียดกันไปมา สาละวนไปกับเอกสารหนาๆ ทั้งในแฟ้มและกระเป๋าถือ ในท่าทีอันผ่าเผยน่าจะสมกับความรู้ของพวกเขา ผมมองไปทางไหนของซอกเสาและพนังของอาคารตึกนี้ ก็ไม่มีแม้ตารางเมตรเดียวที่ผมจะสามารถเป็นตัวเองได้ ผมจนใจจะจัดวางตัวเองและสามารถทำได้ก็แต่นึกคิดไปว่า ผมจะต้องอดทนกับสิ่งเหล่านี้ไปอีกนานสักแค่ไหนกัน, อย่างไรเสียผมก็ไม่คุ้นชินกับสายตาเหล่านั้น,
ผมจินตนาการไม่ออกเลยจริงๆ ว่าอะไรกันแน่ที่ทำให้เรามาพบหน้ากันที่นี่วันนี้, ผมทำอะไรผิดพลาดไปอย่างนั้นเหรอ? ในการเดินทางอันยาวนานนี้ ผมเป็นอะไรกันแน่? เป็นตัวละครประกอบในภาพบันทึกเคลื่อนไหวของเศษเสี้ยวในเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่ที่ไม่มีใครนึกถึง, เป็นซากผีของอุดมการณ์อันเปราะบางของเปลือกที่หุ้มห่อการกระทำปาหี่, เป็นศิลปินแนวหน้าของสังคมที่หากินกันในพิพิธภัณฑ์ทัณฑสถานของเหล่าผู้ทรงศีลที่วิพากษ์วิจารณ์เหตุการณ์ด้วยการทบทวนวรรณกรรมที่ไม่เกี่ยวข้อง, เป็นพวกโง่ในสายตาของบรรดาพวกมากมารยาททางศีลธรรม, เป็นพวกปากดีที่นับเพื่อนเฉพาะที่มีผลประโยชน์ต่อกันเท่านั้น, เป็นกวีกเฬวรากที่ไม่เคยเขียนบทกวีจนจบและมัวแต่สรรหาเรียบเรียงคำคล้องจองของรสชาติถ้อยคำที่ผู้ฅนพอใจหฤหรรษ์, เป็นเดนฅนอันเหลวแหลกในประสบการณ์ของผู้ประสบผลสำเร็จยิ่งใหญ่ในชีวิต –เป็นอะไร!! ผมจะต้องเป็นอะไรอีก!! ….ผมเหม่อ, เผลอนึกคิดไปว่าผมมาที่นี่ทำไม? นึกขึ้นได้ผมก็นั่งอยู่หน้าห้องประตูบานคู่ แม้ผมจะรู้ตัวอยู่เสมอว่าผมไม่เป็นและไม่เคยเป็นอะไรทั้งนั้น แต่มันก็เฉพาะในห้องนอนที่ผมใช้ขังตัวเองเอาไว้ มันไม่ใช่สำหรับที่นี่ ผมจินตนาการไม่ออกเลยจริงๆ ว่าหากไม่ใช่เพราะเราเผอิญเจอกันที่นี่ เราจะรู้จักกันได้อย่างไร หรือ เราจะรู้จักกันไปทำไม,
ที่นี่, ผมนั่งอยู่ตรงเก้าอี้ทางเดินริมเสาของอาคารตึก, มีผู้ฅนแปลกหน้าผ่านไปมาและผู้ฅนคุ้นตาแวะหาอยู่บ้าง ต่างฅนต่างจัดการธุระของตน ผมทำตัวไม่ถูกจริงๆ อาจจะด้วยไม่ได้นอนในคืนที่ผ่านมา หรือไม่ก็ด้วยกลิ่นซากไคลของพวกเขา หรือไม่ก็สายตาละเหี่ยนั่น –ผมทำอะไรไม่ได้, ในธุระของผมที่ไม่เคยมีผมเป็นสาระสำคัญ เป็นเพียงก็แต่ลมปากของระเบียบประดิษฐ์ประกาศิตวิวาทะ ผมทำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ ผมได้แต่นั่งอยู่ริมเสาพยายามข่มใจเพื่อสนทนากับผู้ฅนคุ้นตา ปลอบประโลมใจตัวเองด้วยสองแขนไพล่หลัง ใช้เล็บมือกดน้ำหนักของแรงกำมือไปยังที่ข้อเพื่อสงบสติอารมณ์ซ้ำไปซ้ำมา พยายามเผยรอยยิ้มด้วยรอยตาหยีๆ แสดงให้เห็นถึงความเป็นมิตรเพื่อประคับประคองให้ตัวเองยังคงนั่งอยู่ที่นี่ และประคับประคองบทสนทนาให้ดำเนินต่อไป.
ไม่ทันที่ผมจะได้คำตอบ ว่า ทำไมผมถึงอยู่ที่นี่, อยู่ๆ จากสายตาของผู้ฅนแปลกหน้าที่ผ่านไปมาก็จ้องมอง และเดินเข้ามาเรื่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆ ครั้นผมจะดิ้นหลบไปทางไหนก็หนีไปไม่พ้น สายตาที่จ้องขมึนถลนตาใกล้เข้ามาจนลูกกะตาของพวกเขาหลุดออกมากองอยู่ด้านหน้าของผม พร้อมกับสายตาละเหี่ยของผู้ฅนคุ้นตา ก็กลายเป็นผู้ฅนแปลกหน้าไปเสียหมด ช่างเป็นภาพที่ชวนหวาดผวายิ่งนัก ผมทำได้ก็แต่นอนคุดคู้ดิ้นไปมาอยู่ตรงนั้น ผมกรีดร้องในลำคอด้วยเสียงแหบแห้ง, ไม่ทันที่ผมจะกรีดร้องออกมาให้สุดเสียง ความฝันในคืนนี้ก็สะดุดจนผมสะดุ้งตื่นขึ้นเสียก่อน –ระหว่างคืนฝันอันปวดร้าวและวันเช้าอันเปลี่ยวเหงา, ผมน่าจะตายๆ ไปเสียระหว่างทางในการเดินทางนี้ การงานอันเป็นเกียรติสมกับความรู้ของพวกเขาจะได้ไม่ต้องมาแปดเปื้อนช่วยเหลืออะไรผมอีก,
———————
.
.
[3]
ผมทำได้ก็แต่เป็นเงาของการเคลื่อนไหวที่ถูกจัดแจงภายใต้ท่วงทำนองเรื่องราวในฉากทัศน์หนึ่ง, คำถามสงสัยในความอลหม่านสับสนที่ตอกตรึงไว้เพียงในใจตัวเอง ความคิดซ้ำไปซ้ำมาที่พล่ามพล่านในห้องนอนหลังจากเผชิญหน้าผู้ฅนมากมาย ไม่มีใครสามารถให้คำตอบอะไรได้แม้แต่ความจงใจของตัวเอง –สีแดง, ดวงตาซ้ายของผมไม่รู้สึก แม้จะยังคงใช้การได้สามารถมองเห็นภาพได้อย่างที่มันเป็น มันลุกลามขึ้นไปยังหน้าผากและหัวกะโหลกซีกซ้าย ผมใช้มือคลำหา เมื่อเจอลูกกะตาผมก็ใช้นิ้วมือควักมันออกมา คลำกลับไปที่เดิมก็ยังพบว่าดวงตาของผมยังอยู่ดี ผมจึงควักดึงมันออกมาซ้ำอีกรอบ ทำอย่างนี้อยู่ซ้ำไปซ้ำมาจนรู้สึกตัวว่ากำลังฝันไป ผมพยายามจะลุกขึ้นนั่งก็ทำไม่ได้ แม้จะตื่นอยู่ก็ตาม ผมตะโกนไปเสียสุดเสียงแต่ก็ไม่มีใครได้ยินผมพยายามจะพยุงตัวขึ้น ทั้งยกมือ แขน และขา แต่ก็สิ้นปัญญาจะทำได้ ผมจึงหลับไปอีกครั้งทั้งอย่างนั้น,
แสงสาดผ่านช่องม่านของหน้าต่าง, ผมตื่นขึ้นในช่วงบ่ายของวันพยายามรีบเร่งไปยังสถานที่ตามนัดหมาย ผมนั่งรออยู่ริมเสาของอาคารตึก, ในวันนี้เป็นภาพเดิมที่ยังคงฉายซ้ำอย่างที่มันเคยเป็นมา
.
บทละคร : บทสนทนาในโรงพยาบาลบ้า
[Play In One Act]
Character: 1. ผม 2. หมอ
[เริ่ม]
Sequence 1
โรงพยาบาลบ้า | กลางวัน | ข้างใน
– Character: 1. …., 2. ผม
– ไฟสลัว
// ผมดีดตัวจากเตียงนอน, ผมมีนัดในโรงพยาบาลบ้า.
ผมนั่งรออยู่ตรงเก้าอี้ทางเดินริมเสาต้นเดิมของอาคารตึก,
กระทั่งถึงคิวของบทสนทนาของผู้ฅนคุ้นตา
// ไฟค่อยๆ เปิดขึ้น // ไฟสลัว
ผม
“เป็นยังไงบ้าง?” “ธุระเป็นยังไงแล้วบ้าง
กระบวนการอยู่ขั้นไหนแล้ว??”
หมอ
“ ” //พยักหน้ารอบครึ่ง พร้อมครางเสียง “อืมม”
ผม
“แล้วตอนนี้ล่ะทำอะไรอยู่?”
….
“ ” //พยักหน้ารอบครึ่ง พร้อมครางเสียง “อืมม”
ผม
“ไม่เจอกันเลยนะ วันนี้จะทำอะไรไหม?
ทำไมเดี๋ยวนี้ไม่เห็นทำอะไร? หรือเลิกทำไปแล้ว”
….
“ ” //พยักหน้ารอบครึ่ง พร้อมครางเสียง “อืมม”
ผม
“อ้วกหน่อยสิ! ดิ้นๆ ให้ดูหน่อยก็ได้
หรือมีไรมาอ่านไหม?”
….
“ ” //พยักหน้ารอบครึ่ง พร้อมครางเสียง “อืมม”
ผม
“จำกันได้ไหม? เราก็เคยเจอกันวันก่อน”
….
“ ” //พยักหน้ารอบครึ่ง พร้อมครางเสียง “อืมม”
ผม
“แม่เป็นยังไงบ้าง?”
….
“ ” //พยักหน้ารอบครึ่ง พร้อมครางเสียง “อืมม”
//ไฟค่อยๆ เปลี่ยนแสง
.
[ต่อเนื่อง]
Sequence 2
ในความฝัน | กลางคืน | ข้างนอก/ข้างใน
– Character: 1. ผม, 2. หมอ
– ไฟแสงแดง/มืด
หมอ
“ฮาฮา, ฮาฮา
ผมจำใบหน้าของแม่ไม่ได้ด้วยซ้ำ, ภาพในความทรงจำ
มันค่อยๆ เลือนรางหายไป
ในความรู้สึกนึกคิดมันทับซ้อนกับผู้ฅนแปลกหน้า
เหมือนกับว่าคำมั่นสัญญาอันแรงกล้าพรากแม่ไปจากผม”
“คืนหนึ่ง วันนั้นฝนตกเสื้อผ้าเปียกโชก
ไปด้วยสายฝนที่กระหน่ำสาดซัด
แล้วอยู่ๆ ผมก็ลืมใบหน้าของแม่ ผมพยายามหลับตา
นึกถึงเสียงของแม่ แต่ผมกลับนึกอะไรไม่ออกทั้งนั้น”
“แม่ตายไปแล้ว”
“มัน, มันไม่รู้จะพูดยังไง ผมบอกไม่ถูกจริงๆ”
“ฮาฮา, ฮาฮา” “ในข่าวที่มีฅนโดนจับไปแล้ว, แล้ว, แล้ว,
แล้วแม่ของเขาต้องออกมาตามหาลูกที่หายไป
แม่ของเขายืนร้องไห้บนใบหน้าที่คราบน้ำตาเดิมไม่ทันแห้ง
และคราบน้ำตาใหม่ก็ไหลออกมา มันทับซ้อนกับความรู้สึกนึกคิด
ผมจะทำยังไง, ผมจะทำยังไง, ไม่ได้หรอก, ไม่ได้จริงๆ
แค่จะเล่าให้ใครต่อใครฟัง ว่าผมรักแม่ มันก็ยังเป็นไปไม่ได้เลย”
“ถ้าเกิดว่าพวกมันไปหาแม่ที่บ้าน,
ถ้า, ถ้าผมไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว ถ้าผมต้องไปอยู่ที่อื่น”
“–ถ้าแม่จะต้องออกมายืนอยู่ที่นี่
ยืนร้องไห้เพราะความเหลวแหลกของผม,
ถ้าแม่ต้องมาตามหาผมแบบนั้น, แล้ว, แล้วผมจะต้องทำยังไง”
หมอ
“ใช่, ใช่” “แม่ไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วย
ทุกอย่างมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับแม่ มันไม่ได้เกี่ยว
ทั้งเรื่องโกหก, ทั้ง, ทั้ง, ทั้งเรื่องที่แต่งขึ้น
ผมจะเป็นอะไรก็ได้ในสายตาละเหี่ยๆ พวกนั้น
ผม, ผมแค่จะบอกว่าผมรักแม่, ผม, ผมยังทำไม่ได้เลย”
“ฮาฮา, ฮาฮา” “ไม่เป็นไร! ไม่เป็นไร ….ไม่เป็นไร
ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร”
“ฮาฮา, ฮาฮา”
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร” “ฮาฮา, ฮาฮา”
“ฮาฮา, ฮาฮา” “ผมบอกกับพวกมันไปแล้ว
ตอนที่มันถามผมในสถานีตำรวจ ว่า ผมไม่ได้ติดต่อกับแม่อีก
ตอนนี้แม่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมอยู่ที่ไหน” “ฮาฮา, ฮาฮา”
“แม่ตายไปแล้ว”
“พวกมันขี่รถตามผมไปถึงที่พัก”
“ผมขับรถหนี มันก็ตามผมไปทุกที่
จนผมต้องมาหยุดรถเอาที่ตลาด
เพราะกลัวว่ามันจะมาจับผมไป”
“วันก่อนมีนอกเครื่องแบบ
ตามไปจนถึงที่บ้านเพื่อนของผมที่ต่างจังหวัด”
“แต่ไม่เป็นไร, ไม่เป็นไรแล้ว”
“ตอนที่พวกมันถามว่าแม่เป็นยังไงบ้าง” “ผมบอกว่า
แม่ตายไปแล้ว” “ฮาฮา, ฮาฮา”
“ฮาฮา, ฮาฮา” “พวกมันจะได้ไม่ตามไปหาแม่ที่บ้าน”
“ผม, ผม ผมต้องทำยังไงอีก
ผมต้องทำยังไง ถ้ามันหาแม่เจอ”
“ผมจะต้องทำยังไง ถ้าแม่ต้องออกมายืนอยู่ที่นี่
ผมไม่เคยทำอะไรให้แม่ภูมิใจอย่างที่แม่เคยขอเลย
ผมจะมีน้ำหน้าไปบอกใคร ว่าผมรักแม่
แม่ไม่เคยฟังบทกวีของผมด้วยซ้ำไป แม่ไม่เคยรู้ด้วยซ้ำ”
หมอ
“แม่บอกว่า ทำไมมันนานจังเลยลูก
มันจะจบจะสิ้นเอาตอนไหน”
“ฮาฮา, ฮาฮา” “ผมจะตอบแม่ยังไง
ผมจะตอบให้แม่สบายใจยังไง” “ไม่ได้, ไม่ได้”
“ฮาฮา, ฮาฮา” “ผมจะทนได้ยังไง
ผมจะ, ผม, ผม ผม ผม ไม่ได้ ไม่ได้”
“ไม่ได้, ไม่ได้ ผมจะยืนหยัดอยู่ได้ยังไง
แม่ แม่ไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วย”
“ผม ผม ผมไม่เคยทำให้แม่ภูมิใจได้เลย
ถ้าแม่ ถ้า ถ้า ถ้า ถ้าเกิดว่า แม่ร้องไห้”
“ถ้าแม่ร้องไห้ ผมจะทำยังไง ผมจะทำยังไง
ผมจะทำยังไง” “ฮาฮา, ฮาฮา”
“ถ้าแม่ร้องไห้ ผมจะทำยังไง” “ไม่ได้, ไม่ได้”
“ผม ผม ผมบอกไม่ได้ ใช่ ใช่ ใช่ ใช่แล้ว ใช่แล้ว”
“แม่ตายไปแล้ว”
“ฮาฮา, ฮาฮา”
“ฮาฮา, ฮาฮา”
“ฮาฮา, ฮาฮา”
“ฮาฮา, ฮาฮา” “แม่ตายไปแล้ว” “ฮาฮา, ฮาฮา”
“หรือไม่ก็ ก็…. หรือไม่ผม ก็น่าจะตายๆ ไปซะ
ฮาฮา ผมน่าจะตายๆ ไปซะ ตายไปซะ” “ฮาฮา, ฮาฮา”
//ไฟค่อยๆ เปลี่ยนแสง-แสงขาว//ไฟโรงพยาบาลบ้า
ผม
“หมอ, หมอครับ นี่หมอฟังอยู่ไหมครับ”
หมอ
“ครับ! อ้อครับ” “ฟังสิ”
ผม
“คืองี้ครับ”
“ผมก็ไม่รู้จะต้องตอบคำถามยังไงอะครับ บางทีผมงงๆ
ยิ้มแห้งๆ คือบางฅนผมก็พยายามจะตอบเขานะครับ
แต่กับบางฅนเขาก็มีคำตอบที่อยากได้ยินจากผม
แบบว่าถามทำไมวะ แบบถามๆ ไปงั้นๆ อะครับ”
//ไฟค่อยๆ เปลี่ยนแสง//ไฟสลัว
ผม
“คือมันก็เรื่อยๆ ครับ”
“ผมก็ไม่รู้จะตอบถึงธุระอันไหนอะ มันเยอะไปหมด
ธุระบ้าอะไร ที่ต้องไปนั่งโง่ๆ เป็นวันๆ
ฟังฅนพูดห่าอะไรกันก็ไม่รู้ พอถึงทีผมจะต้องพูด
ก็พูดห่าอะไรไม่ได้ มันเป็นส้นตีนอะไรที่พูดเหี้ยอะไรไป
มันก็ผิดไปซะทุกเรื่อง ถามจริงๆ เถอะให้ฟังอะไรวะ
ใครมันจะอยากจะไป แต่ก็ต้องไป ปีๆ นี้เสียเวลาไปกับ
ธุระนี่ทุกเดือนๆ
คือ ไปทุกเดือน มันไม่ใช่แค่วันที่ต้องไปธุระอย่างเดียว
การเดินทาง, การเตรียมตัว ไหนล่ะเวลาพัก
ไหนล่ะเวลาที่จะไปทำมาหาแดก
ทำงานหาเงินมาก็ต้องเอามาละลายกับไอ้ธุระห่านี่
คือไป ก็ต้องแดกข้าวอะ น้ำมันรถก็ต้องเติม
“คือจะให้ผมไปทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
คือตอนนี้ผมพยายามทำสิ่งที่อยากทำให้มันมีตังค์
หาเลี้ยงตัวเองให้ได้อยู่เหมือนกัน
ใครมันจะอยากแบมือขอเงินฅนอื่นอยู่ตลอดๆ ล่ะ”
“ถ้าไม่ไหวก็คงหาอะไรทำประจำมั้ง”
“ผมก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรอะครับ ฮาฮา”
“ช่วงนี้ก็คงหาอะไรทำไปเรื่อยเปื่อยมั้งครับ
แต่ตอนนี้ไม่มีตังค์ คือ จะทำอะไรได้มันก็ต้องใช้ตังค์อะ
คือชีวิตฅนหนึ่งฅนนี่มันจะต้องทำงานกี่รอบ
ทำงานหาเงิน เพื่อเอาเงินมาทำงานที่อยากจะทำ เหรอ”
“ก็เออ ก็ใช่มันก็เป็นอย่างงั้นอยู่”
ผม
“ฮาฮา แล้วนี่จะมาให้กูอ้วกให้ดู
ให้พ่อมึงอ้วกให้ดูเถอะ ทำตัวโง่ๆ อยู่อย่างนี้ไง อีกสัก 30 ปี
ก็เปลี่ยนแปลงห่าอะไรไม่ได้หรอก
เอาเถอะจะเปลี่ยนแปลงส้นตีนห่าอะไร
หัดทำความเข้าใจให้ได้ก่อนเถอะ
ว่างานแต่ละงานมันพึ่งพาแรงงานกันทั้งนั้น
มึงเคยทรีทว่าที่กูทำนี่มันเป็นงานไหม?
อ้อๆ โอเค ไม่ต้องหรอก
มึงเองเถอะ ไปทำให้ฅนในองค์กร
ที่มึงลากพวกมันมาทำงานให้มึงอะ ให้พวกโง่ตัวน้อยๆ
มีประกันสังคมให้ได้ก่อนเถอะ
วันนั้นมึงคงจะเข้าใจได้มากขึ้นว่าการจ่ายค่าแรง
ที่สมเหตุสมผลมันเป็นยังไง คือไม่ใช่ว่าชีวิตนี้กูไม่ทำงานฟรี
ถ้ากูไม่ทำงานฟรี กูจะนั่งเลียเกลือที่ส้นตีนตัวเอง
แทนกับข้าวเหรอวะ จำไว้ตอนมาขอให้ฅนทำงานให้ฟรี
จะได้ไม่พูดตีนอย่างนี้อีก อิสัส ฮาฮา, หยอกๆ”
“เอออออออ
ช่วย.. ช่วย เอ้ออออ ช่วยแนะนำอีกสักทีหน่อยก็ดีครับ
ว่า ชื่ออะไร แล้วเคยเจอกันที่ไหน” “คืออออ เอ้ออ แฮ่ๆ”
“เอ้อ แม่เหรอครับ ก็ ก็เป็นยังไง
ก็เป็นแม่อะครับ ก็น่าจะดีมั้งครับ อืมม น่าจะดีอยู่นะครับ
….เอิ่มมมมม ครับ”
//ไฟดับ
[ตัด]
———————
.
.
[4]
ผมตื่นขึ้นอีกครั้ง, ในวันที่ไม่ได้มีความสำคัญอะไร การเดินทางอันยาวนานนี้ไม่เคยถึงที่สิ้นสุด นี่ก็เป็นเวลากว่าสองปีมาแล้ว ที่ผมขับรถมอไซค์บนถนนสายเดิมซ้ำๆ ในเช้าที่จะต้องกลายไปเป็นใครสักฅนเพื่อให้ใครฅนอื่นสามารถขานเรียกได้ในบริบทใดสักบริบทหนึ่ง –มันต้องมีอะไรสักอย่างระหว่างทางที่ผิดพลาด, สักอย่างที่ลืมให้ความเอาใจใส่ กระทั่งบาดแผลถลอกลุกลามเหวอะหวะกัดกินผิวหนังจนร่างเนื้อหลุดลุ่ย ทิ้งไว้ก็แต่กลิ่นสาบซากไคลของหยาดเหงื่อเหม็นอับซึมลึกเข้าไปในจิตวิญญาณ จะล้างออกอย่างไรก็ยังมีกลิ่นอุบาทว์คลุ้งเคล้าบนปลายจมูกอยู่เนืองๆ เป็นกลิ่นที่ไม่มีที่มาและหาสาเหตุไม่ได้ แม้จะพยายามสืบค้นขุดเจาะลงลึกไปถึงแก่นสันดานใจอย่างไรก็ไร้คำตอบว่า อะไรกันแน่! มันผิดพลาดที่ตรงไหน อะไรกันแน่ที่เป็นความผิดพลาด,
ในฉากครึ้มครามของเมฆฝนในเดือนกรกฎาคมยาวนานถึงเดือนธันวาคม, ผมขับรถมอไซค์บนถนนสายเดิม แม้จะรู้ดีว่าเป็นเส้นทางเดิมและแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีอะไรที่จะครอบครองความจีรังไว้ได้ สักวันพวกมันจะล่มสลาย แต่มันกะทันหันเกินไปจนใจไม่สามารถจะรับเอาไว้ไหว –ผมเดินไปในตลาดกลางชุมชนของผู้ฅนแปลกหน้า พวกเขาตะโกนไล่หลังให้ผมออกไปจากที่นี่เสียราวกับจะหมายเอาชีวิตของผมให้ได้ในวันนี้ ซึ่งผมก็ตั้งใจละทิ้งมัน พวกเขาก็คงจะทราบดีอยู่แล้ว การตะโกนไล่หลังมานี้ก็คงจะเพื่อความสาแก่ใจ ให้เหมือนว่าการจากไปของผมเป็นผลสำเร็จของพวกเขา และอีกครั้งที่ผมเดินเข้าไปในตลาดของผู้ฅนคุ้นตา พวกเขากลับเดินมากระซิบข้างหูของผมทีละฅน ทีละฅน พวกเขาบอกผมว่า “อย่าทำอย่างนั้นเลย” ผมจึงรู้ได้ในวันนี้เอง ว่าผมไม่สามารถหาใครเป็นเพื่อนใจได้เลย ….ผมจึงนึกสงสัยว่า เขาเคยนึกยินดีกับสิ่งที่ผมเลือกทำไปบ้างหรือเปล่า ผมได้เพียงแต่คิด ว่าหรือสิ่งที่ผมเลือกทำไปมันจะความผิดพลาด,
เมื่อผมนึกสงสัยเช่นนี้ ในความรู้สึกนึกคิดของผมก็ร่วงโรยโหยไห้อยู่บนซากปรักหักพังและความล่มสลาย จนกระชากเอาสามัญสำนึกของผมตกสู่หุบเหวแห่งความต่ำทราม, เผยภาพสีบลูเกรย์ ปรากฏซากศพแขวนคออยู่ริมถนนบนต้นไม้ตามแนวทิวทัศน์ภูเขา สลับตัดภาพผู้ฅนเฉยชาที่ทำได้เพียงสบตากันและเคลื่อนผ่านไปโดยไม่ยินดียินร้ายอะไร ผมยืนดูฅนรู้จักถูกลากไถลไปกับถนน ถูกจับแขวนคอบนต้นไม้ต้นเดิม ฉายทับกับภาพปรากฏที่เป็นฅนแปลกหน้าก็ถูกแขวนไว้บนต้นไม้ต้นใหม่ริมถนนเป็นแนวไกล ไม่มีใครรู้สึกถึงความตายที่กำลังปรากฏ แม้นัยน์ตาจะเหม่อลอย แต่ไม่มีน้ำตาแห่งความเศร้าโศกเลยแม้แต่น้อย มันสับสนเสียจนผมตระหนักได้ว่าเป็นเพียงความฝัน
ในความฝันนี้ผมกำลังขับรถเคลื่อนไปบนถนนที่ซากศพเกลื่อนพื้น ไม่มีเสียงใดเงียบเช่นนี้อีกแล้ว แม้แต่เครื่องยนต์ของรถมอไซค์ก็เงียบเสียจนได้ยินเสียงกระชิบของความเงียบ แม้ผู้ฅนบนรถคันหน้าจะมองมา กลับปรากฏเป็นตัวผมที่กำลังสบตาตัวเอง ผมเร่งความเร็วอย่างทุรนทุราย ปานจะสิ้นใจตายเอาให้ได้ กระทั่งเสียหลักล้มกลิ้งไปตามถนนทั้งฅนทั้งรถ จนมาหยุดเอาที่หน้าผา –ผมสะดุ้งตื่นในขณะที่ดวงตายังไม่เปิดขึ้น ผมจึงกล่อมตัวเองให้หลับไปอีกครั้ง
“อ้ากกกกกกกก อ้ากกกกกกกกกกกกกก อ้ากกกก, ฮาฮา”
ผมตะโกนแหกปากอยู่ริมหน้าผาอย่างกับฅนบ้า แล้วอยู่ๆ ฅนโน้นฅนนี้ก็เขามารุมล้อม เป็นผู้ฅนแปลกหน้ายังคงตะโกนอยู่เช่นเดิม แต่ผู้ฅนคุ้นตากลับเดินมากระซิบบอกผมว่า “การตะโกนนี้เสียเปล่า คงจะมีก็แต่ผู้ฅนที่สะดุ้งตกใจกับเสียงนี้ และแล้วมันจะหายไปในอากาศ มีก็แต่ความเจ็บตัวและความปวดใจ มันไม่มีใครรับรู้สิ่งที่ต้องการหรอก หัดทำอะไรที่มันจะยั่งยืนเถอะ” ….หรอกเหรอ! ผมนี่นะเหรอต้องการอะไร ผมจะต้องการอะไรได้ล่ะ? ผมต้องการอะไรได้ด้วยหรอกเหรอ ฮาฮา ไม่เลยๆ ผมไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น, จบประโยค ผมจึงกระโดดหน้าผาไปเสียอย่างนั้น ในห้วงเวลาที่ร่วงหล่นลงไปผมได้แต่นึกคิดกับตัวเองว่า อะไรกันแน่! ที่เป็นความผิดพลาด ผมไม่นึกว่าผมผิดอะไรนี่! ที่ทำเช่นนี้ ผู้ฅนแปลกหน้าต่างก็ชี้หน้าด่าผมว่าเป็นพวกโฉดชั่ว แต่ผมก็ไม่ได้นึกถือสาอะไร, แต่กับผู้ฅนคุ้นตานี่สิ มันเจ็บปวดเหลือเกิน เกินกว่าจะอดทนยืนอยู่ที่นี่ได้ ผมเลือกไปตายเสียยังดีกว่าได้ยินถ้อยคำเหล่านั้นซ้ำๆ
แม้ผมจะรู้ตัวดีว่าผมไม่ได้ผิดอะไรกระทั่งคุณค่าศีลธรรมความดีความชั่วก็ไม่ไหลเวียนอยู่ในสำนึกของผมด้วยซ้ำ แต่ในเมื่อใครต่อใครบอกว่าผมผิด มันก็คงจะจริงอย่างที่เขาว่า บางทีอะไรที่เป็นความผิดพลาด ก็คือผมเอง, ระหว่างที่ผมกำลังตกจากหน้าผา ผมเผลอนึกไปว่า ก็คงเป็นผมเองที่เป็นความผิดพลาด และเมื่อใดที่ร่างกระทบกับพื้นเหวนี่ ผมก็จะได้ตายๆ ไปกับความผิดนี้เสียที –กระทั่งผมรู้สึกตัว, ผมก็ยังคงร่วงหล่นไม่ตกกระทบพื้นเสียที ความผิดของผมจึงไหลเวียนในสำนึกอยู่เช่นนี้ซ้ำๆ
ผมสะดุ้งตื่นขึ้น, มือและแขนของผมหักงอ ข้างขวารัดคอส่วนข้างซ้ายบิดเบี้ยว อีกทั้งสองตีนสองขาก็กลับด้านพาดพันกันไปมา ดวงตาของผมเหลือกขึ้นจนตาดำมองไม่เห็นแสง จะเห็นก็แต่ความมืดในเบ้ากะโหลก– ผมสะดุ้งตื่นด้วยท่าทีเรียบนิ่งเช่นนี้มากี่คืนแล้ว ผมเองก็จำไม่ได้, ผมพยายามนึกว่าเมื่อครู่นี้ ผมฝันอะไรไปในความฝันฉายภาพบรรยากาศและหน้าตาผู้ฅนซ้ำไปซ้ำมาจนผมแยกแยะเอาไม่ถูกว่าใครเป็นใคร รู้ก็แต่ตัวผมเองว่าในความฝัน ผมน่าจะตายๆ ไปเสียให้มันจบๆ สิ้นๆ อย่างน้อยๆ ผมก็ไม่เคยรู้สึกผิดเลยกับความคิดเช่นนี้ แต่ผมจะพูดกับใครได้ น่าสมเพชเสียจริงๆ
———————
.
[5]
ผมตื่นขึ้นอีกครั้ง, ในวันที่ไม่ได้มีความสำคัญอะไร การเดินทางอันยาวนานนี้ไม่เคยถึงที่สิ้นสุด นี่ก็เป็นเวลากว่าสองปีมาแล้ว ที่ผมขับรถมอไซค์บนถนนสายเดิมซ้ำๆ ในเช้าที่จะต้องกลายไปเป็นใครสักฅนเพื่อให้ใครฅนอื่นสามารถขานเรียกได้ในบริบทใดสักบริบทหนึ่ง –ผมตื่นขึ้นอีกครั้ง, ในวันที่ชีวิตไม่ใช่ของตัวเองอีกต่อไป ซึ่งมันก็เป็นเรื่องประหลาดที่ใครต่อใครก็ต่างพูดกันให้ทั่วว่าผมเลือกเองทั้งนั้น ใช่! ผมทราบเป็นอย่างดีเลยละ ว่าสิ่งที่ผมเลือกจะนำพาตัวผมไปเผชิญหน้ากับอะไร ….แต่ใครมันจะไปรู้ล่ะ ว่าอยู่ๆ ผู้ฅนคุ้นตาจะเดินมากระซิบบอกข้างหูว่า ‘ผมไม่ควรทำสิ่งนี้เลย’ ผมจึงรู้ได้ในวันนี้นี่เองว่าทุกอย่างที่ผมเชื่อมั่นและทุกสิ่งที่ผมทำลงไปนั้น มันเป็นความผิด แม้ผมจะไม่เคยคิดอย่างนั้นก็ตาม แม้ใครต่อใครจะชี้หน้าด่า ผมไม่เคยสะท้านสะเทือนใดๆ แต่ในวันนี้เองที่ผมค้นพบแล้วว่า มันเป็นความผิดของผมทั้งหมด, ในเมื่อเขาอยากให้ผมผิด ผมก็จะรับมันเอาไว้ และนี่จึงเป็นคำสารภาพของผมทั้งหมด
ฉากของประตูบานคู่ค่อยๆ ก่อร่างเค้าโครงขึ้นเป็นห้องในอาคารตึก ประตูค่อยๆ เปิดออก ปรากฏภาพในห้องนั้นขาวโพลนเหมือนกับว่ามีแต่ตัวผมที่เป็นสิ่งสกปรกในนี้, ในบรรยากาศเย็นเยียบจนหนังตีนชื้นเหม็นลอยขึ้นจากถุงเท้าคู่ใหม่และกลิ่นน้ำลายที่ไหลล้นเอ่อท่วมปาก ผมรู้ตัวอีกทีก็มายืนอยู่กลางห้อง จากห้องสีขาวเริ่มปรากฏเงาประหลาดอยู่รายล้อม ปรากฏขึ้นทีละเงา ทีละเงา มีเสียงหวีดหวิดหัวเราะในลำคอลอยผสมมาในอากาศ เงาประหลาดพ้นน้ำลายใส่ผมทีละตัว ทีละตัว สลับผลัดเปลี่ยนซ้ำๆ ผมถูกขังไว้กลางห้องประจัญหน้ากับเงาประหลาดตัวที่หนึ่ง ตัวที่สอง ด้านซ้ายของผมปรากฏเงาตัวที่สาม ด้านหลังเยื่องทางขวา ตัวที่สี่ ตัวที่ห้า และด้านหลังถัดไปอีกฝูงห่าใหญ่ มันจ้องมองเข้ามาในดวงตาของผมอย่างกับว่าจะทะลุเข้ามาสืบเสาะตัวตนของผม ในนัยน์ตาเย้ยหยันของผมปะทะเข้ากับนัยน์ตาของเงาประหลาดตัวที่หนึ่ง เหมือนกับจะบอกกับมันไปว่า ไม่ใครสักฅนก็ต้องละอายต่อสายตานี้ ละอายในความผิดบาปไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง และแล้วมันก็เบือนหน้าหนีหลบสายตาของผมไป
เค้าโครงของห้องสีขาวโพลนมีแสงวาบสว่างและมืดลง สลับกันไปมา ดวงตาของผมพร่ามัวฟุ้งกระจายจนผมแทบมองอะไรไม่เห็น, เงาประหลาดต่างเคลื่อนไหวพลุกพล่านเฉียดตัวผมไปมา อยู่ๆ ทุกอย่างก็หยุดชะงักและปรากฏภาพตรงหน้าเป็นห้องพิจารณาคดีความ
“จากหลักฐานที่ได้ดูไปแล้วคร่าวๆ เมื่อครู่นี้
ศาลมีข้อเสนอว่า หากรับจะรอลง แต่ถ้าหากสู้แล้วคำตัดสินออกมาว่ามีความผิด ก็จะไม่ให้รอลง”
“เพราะเท่าที่ดูหลักฐานยังไงก็ไม่น่าจะมีคำตัดสินเป็นอย่างอื่นไปได้”
ผมไม่ตอบอะไร,
พลางคิดทบทวนในใจว่าความฝันคืนนี้ จะเป็นเรื่องเป็นราวของอะไรและผมจะต้องกลายไปเป็นใครอีก? ทันใดนั้นที่ผมนึกคิดว่าครั้งนี้ก็คงจะหนีไม่พ้นจะต้องเป็นจำเลยไม่สักคดีใดคดีหนึ่ง ไม่ทันที่ผมจะนึกให้จบความในใจ ผมก็เผลอไปเห็นเงาประหลาดตัวที่สองยืนนิ่งเหมือนของประดับในงานที่จำเป็นต้องมีตามพิธีรีตอง แล้วอยู่ๆ เงาประหลาดตัวที่หนึ่งก็ยิ้มเยาะ ….มันมองมาที่ผมอีกครั้ง,
“ว่ายังไงล่ะ นี่ถือเป็นประโยชน์ต่อตัวจำเลยเอง”
ผมก็ทำได้แค่ยืนปะทะอยู่ตรงนั้น
“ผมปฏิเสธข้อกล่าวหา และจะแถลงให้ข้อเท็จจริงปรากฏชัดแจ้งต่อศาล”
“ผมจะสู้คดี!!”
ในความรู้สึกนึกคิดที่เลือนรางเหลือเกินจนจดจำตัวเองไม่ได้ไปทีละนิดทีละน้อย เหมือนกับว่านี่เป็นครั้งแรกที่ได้ฝันในความทรงจำของซากผีตนนี้, ผมจ้องมองไปยังสายตานั้นอย่างไม่หวั่นเกรง หัวใจเร่งเร้าจังหวะราวกับว่าความน่ารังเกียจของไส้พุงในตัวผมที่สะสมเอากลิ่นเหม็นเน่าของแผลภายในจะทะลุทะลวงออกไปทางสายตาของผม ราวกับว่าจะลากเอาพวกมันไปตายเสียด้วยกันในคราวเดียว, ผมยืนนิ่งหลับตาอยู่ครู่หนึ่งสองมือเลือดไหลออกตามรอยเล็บมือที่กำแน่น ไรฟันก็ขบเข้มจนได้ยินเสียงเสียดกระทบ ….ผมสูดหายใจเข้า
“นี่คือ คำสารภาพ”
“ผมไม่แม้แต่จะคิดว่าสิ่งที่ผมทำลงนั้นเป็นความผิดแต่อย่างใด,
“ผมมาเป็นจำเลยในคดีนี้ เพราะผมกระทำความอย่างนั้นนะเหรอ ไม่ใช่!!
ฅนที่มันชี้หน้าผมว่ามีความผิด คือฅนที่เป็นโจทก์ยื่นฟ้องและพวกพยานฝ่ายโจทก์ที่ได้เบิกความ
ไปก่อนที่ผมจะมายืนต่อหน้าศาลในวันนี้”
“…. ผมไม่แม้แต่จะคิดเสียใจกับสิ่งที่ได้ทำไป และไม่เคยคิดว่าตัวผมเองจะกลับไปแก้ไขอะไรด้วย
มีแต่จะยิ่งอหังการขึ้นทุกวันๆ ฟังไว้นะ สักวัน! ในทุกแยกทุกค่อมของถนน ในทุกผนังของอาคารตึก
ผมเฝ้ารอวันที่จะกระชากล้มลงมาและเหยียบย่ำให้เหมือนกับความต่ำชั่วของมัน และจะเผาล้าง
อย่างที่มันได้ทำกับผมในตอนนี้”
“จะว่าก็ว่ากันเสียเถอะ หรือถ้ามีอะไรสักอย่างที่ผมคิดว่าผมคิดผิดไป ก็คงจะเป็น คิดผิด
ที่คิดว่าฅนเราสามารถพูดความเป็นจริงและความรู้สึกนึกคิดของตัวเองได้
ผมเองก็มารู้เอาประเดี๋ยวนี้นี่เอง ว่าความรู้สึกนึกคิดของผม ได้ทำให้ผมกลายมาเป็นจำเลยในวันนี้”
“อุบาทว์ฉิบหาย”
ไม่ทันจะได้แถลงให้จบความ, เงาประหลาดตัวที่หนึ่งก็โยกตัวเคลื่อนร่างเข้ามาใกล้ใบหน้าของผม, ลิ้นของมันยาวยื่นออกมาจากปาก เลาะเลียไปทั่วใบหน้าของมัน มือของมันลูบไปทั่วใบหน้าที่เปรอะเปื้อนน้ำลาย แล้วลูบมาที่ใบหน้าของผม ราวกับว่าจะเอาน้ำลายของมันมาเคลือบถ้อยคำของผม, พลันผมจะอ้าปากพูดต่อมันก็ดิ้นชะงัก ตะคอกกลับมาว่า
“นี่ไม่เกี่ยวข้องกับคดีความนี้, จะเบิกความอะไรก็เอาให้ตรงประเด็นเลยจะดีกว่า”
ผมได้แต่สะอึกสะอื้นอยู่ในใจ,
ผมพูดไปด้วยท่าทีอันก่อกวนป่วนประสาทหมายจะให้มันชักตายเมื่อได้ยิน
“ไม่เกี่ยวเหรอ? ถ้าไม่เกี่ยวกับคดีแล้วจะเอาผมมานั่งทำห่าอะไรที่นี่
ผมมาอยู่ที่นี่ ก็เพราะผมอยากจะมาหรอกเหรอ
ใครล่ะ ที่มันกล่าวหาผม พร้อมพวกรวมนับสิบกว่าฅนมาชี้หน้าบอกว่าผมเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้
ล่อจะเอาให้ผมติดคุกให้ได้ ถ้าจะทนฟังผมไม่ได้ จะเอาผมมานั่งตรงนี้ทำไม”
“นี่, ผมจะบอกอะไรให้สักอย่างนะ ผมน่ะอดทนฟังพวกห่านี่พูดอะไรเกี่ยวกับผมมั่วๆ ซั่วๆ
แหม่! คุณเองก็ยังฟังแถมทำท่าทำทีอย่างตั้งอกตั้งใจ พูดคุยต่อบทสนทนากันยาวเหยียด,
นี่! นี่ผมอยู่ที่นี่นี่ไง ผมนี่! ที่จะได้พูดถึงเรื่องตัวเอง พูดถึงความรู้สึกนึกคิด
พูดว่า มันเกิดอะไรขึ้น แล้วทำไมแค่นี้นี่มันทำไมจะฟังห่าอะไรไม่ได้เลยเหรอะ
แล้วถ้ามันไม่ใช่ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับคดีความ มันจะฟังเอาไม่ได้หรอกเหรอ
แล้วจะมาพูดถึงผมทำไมกันล่ะ สรรหาอยากจะเอาผมมาที่นี่กันนักนี่ เอาผมมาเป็นคดีความ
อย่ามาสำออยทนฟังไม่ได้หน่อยเลย”
“ละทีให้ผมฟังอะไรมาเสียยาวยืดฟังพวกห่านั้นอยู่เป็นวันๆ มา 4-5 วันแล้ว
นัดเวลากันข้ามเดือนข้ามปี นัดถี่เสียจนจะรู้เวลาเยี่ยวขี้กันอยู่แล้ว
แค่อดทนฟังผมพูดไม่กี่นาทีนี่มันจะตายห่ากันหรืออย่างไร
หรือผมพูดอะไรไม่ได้ล่ะ ถ้าไม่ได้เลยเนี่ย ผมก็จะเงียบปากไปเสีย”
เงาประหลาดตัวที่หนึ่งมองมาที่ผมอีกครั้ง พร้อมตอบกลับด้วยด้วยท่าทีอันโอ่อ่าผ่าเผย,
“นี่ก็ยังไม่ใช่สาระสำคัญ,
ศาลจะถามคำถามว่าคุณรักเขาไหม”
ผมไม่ทราบจริงๆ ว่าสมควรจะตอบไปเช่นไร มันกระอักกระอ่วนยียวนความรู้สึกไปเสียหมด
ได้แค่สงสัยเป็นคำถามแทนคำตอบ
“คำถามนี้เกี่ยวข้องกับคดีความไหม?”
เงาประหลาดตัวที่หนึ่งเท้าแขนมือประสานกัน, ครู่หนึ่งจึงชี้นิ้วมาทางผม
“ตอบแค่ใช่ หรือไม่ แล้วค่อยอธิบาย, ตอบตามความเห็นที่อยากจะตอบ”
“คุณมีเสรีภาพจะทำมันก็เสรีภาพของคุณ ศาลมีคำถาม คุณก็ต้องตอบมา
“ศาล ถาม ว่า คุณ รัก เขา ไหม ??”
ในบรรยากาศอันอึกทึกคึกโครม,
ผมดันทะลึ่งหลุดขำออกมาเสียงดังลั่นห้องเคล้าบรรยากาศให้โหมกระหน่ำดั่งเสียงกัมปนาท
“ฮาฮา
“บ้า!! ….บ้ากันไปหมด ฮาฮา”
“จะถามก็ถามจะเอาคำตอบจากผมเสียให้ได้
ครั้นผมตอบ ใช่ หรือ ไม่ คุณก็หมดท่าทีจะรับฟัง เพราะคุณเองก็ต้องการคำตอบอยู่แค่นั้น
แล้วจะมาบอกว่าค่อยให้ผมอธิบาย ฮาฮา ส้นตีนอะไรวะ
ผมพูดเอาเสียหมดว่าความรู้สึกนึกคิดของผมเป็นอย่างไร
แต่กลับมาบอกกันว่า มันไม่เกี่ยวข้องกับคดีความ ที่นี้มาถามเอากับผมหรอกเหรอ
ว่าผมรู้สึกนึกคิดอย่างไร บ้า พวกมึงมันบ้ากันไปหมด”
“ผมถามเอาตามตรงเถอะ ความรักเป็นความผิดหรือไม่? ….ก็ไม่! ในบรรดาผู้ฅนที่บอกรักกัน
มันมีใครสักฅนเหรอที่ต้องมาเป็นคดีเช่นนี้
แล้วถ้าไม่รักล่ะ เป็นความผิดหรือไม่!? ทำไม!! ทำไมที่ผมไม่ได้รักและบอกว่าไม่ได้รัก
ถึงมีความผิด ต้องถูกจับตัวมาเป็นคดีความ ทำไมฅนหนึ่งถึงบอกรักได้โดยที่ไม่มีความผิดอะไร
แล้วทำไมฅนหนึ่งบอกว่าไม่รักไม่ได้ ในหัวสมองที่อุดมสมบูรณ์ได้ด้วยความรู้มากมายนี่
มันไม่เคยคิดตั้งคำถามเหรอว่า ฅนทุกฅนเกิดมาเป็นฅน! แล้วทำไมอีกฅนหนึ่งเกิดมาต้องเป็นที่รัก
ของอีกฅนหลายฅนด้วย มันผิดมากนักหรืออย่างไรที่จะไม่รัก!!”
“ถ้าผมจะอยากให้มันล่มสลายหายไปเสีย
มันจะต่างอะไรกับสิ่งที่พวกคุณพยายามกำจัดทำให้ผมหายไปอยู่นี่เหรอ”
“เรามันเหมือนกันเลย อยากจะกำจัดกันและกันให้หายไปสักข้าง
ต่างกันก็ตรงที่ผมได้แค่พูด ….แต่คุณทำทุกวิถีทาง ด้วยทุกๆ อย่างที่จะสรรหามาเพื่อกำจัดผมซะ
แต่คุณรู้อะไรไหม? ไม่มีใครถูกพรากความรัก ไม่เคยมีใครพรากความรักไปจากใจใครได้
และไม่มีใครเยียวยาบรรเทาความเกลียดชังของใครได้ด้วยเช่นกัน”
“อย่าหลอกตัวเอง”
“มันไม่ใช่ความรู้สึกนึกคิดข้างในหัวของตัวใครฅนเดียว แบบตัวใครตัวมัน
มันคือความรู้สึกนึกคิดที่จำเป็นจะต้องเผยมันออกมา เอามันออกมา เอามันออกมา”
“คุณก็ได้ดูหลักฐานไปแล้วนี่
คำตัดสินมันอยู่ที่ตัวผมหรอกเหรอ ก็บอกมาเลยว่าจะเอาอย่างไรกับฅนอย่างผม”
ผมเหม่อ, เผลอนึกคิดไปว่าผมพลาดอะไรไป ยังมีอะไรอีกไหมที่ผมยังไม่ได้พูดมันออกไป และแล้วภาพในห้องพิจารณาคดีความก็ล่มสลาย กลับกลายเป็นห้องขาวโพลนอย่างเดิม เหล่าเงาประหลาดเลือนหายไปทีละตัว ทีละตัว เหลือไว้ก็แต่ตัวผมอยู่กลางห้อง –แม้ความฝันคืนนี้จะยาวนานกว่าคืนอื่น บ้าคลั่ง และฮึกเหิม แต่ในห้วงหนึ่งของความรู้สึก มันก็เปลี่ยวเหงาไม่น้อยทีเดียว เมื่อสุดท้ายแล้วคืนค่ำอันยาวนานมันก็ไม่หลงเหลือใครอีก
ผมทำเช่นนี้ไปทำไมในเมื่อผมเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าหากจะทัดทานถากถางไปด้วยสองมืออันอ่อนแรงนี้ มันก็ไม่อาจจะเคลื่อนย้ายภูเขาอันทรงภูมิพลังแกร่งกล้าไปได้ ผมทำไปทำไมในเมื่อผมเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าจะอหังการกังขาไปมากเพียงใดมันก็จะย้อนกลับมาทำร้ายตัวผมเองมากขึ้นเป็นทวีคูณ ผมน่าจะตายๆ ไปเสีย ตายไปพร้อมกับความยินดีที่ตัวผมเองรู้อยู่แก่ใจว่า ผมเลือกสิ่งนี้ด้วยตัวเองก็เพียงพอแล้ว
———————
.
.
[6]
ผมฝันซ้ำๆ ในคืนที่ผมหลับตานอนไปได้, ในเรื่องเดิมๆ ที่ผมเองก็จำไม่ได้ว่ามันเริ่มขึ้นครั้งแรกตอนไหน แต่มันไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกร้าวรานอะไรได้อีกแล้ว –ไม่ใช่ความชินชา แต่ผมไม่รู้จริงๆ ว่าผมจะต้องรู้สึกอย่างไร, ก็เหมือนในคืนนี้ที่ผมเองพยายามจะนอนหลับให้ลงเสียที, แม้ผมจะไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้ผมจะตื่นขึ้นมาทำไมก็ตาม
ผมตื่นในวันรุ่งขึ้น ผมไม่รู้ว่าตื่นขึ้นมาทำไม, อาจจะเพราะฅนอื่นๆ ตื่นกันในตอนนี้กระมัง แต่ผมจะไปไหนได้ จะให้ไปที่ไหนสักที่นะเหรอ…. บนถนนหมายเลข 1 ผมขับรถมอไซค์ผ่านทิวทัศน์เดิม ภายใต้ร่มเงาภูเขาอันทรงภูมิพลังแกร่งกล้าซึ่งทอดตัวปกคลุมไปทั่วทุกหย่อมหญ้า ราวกับว่าต้นกล้าใดก็ต้องศิโรราบต่อความเป็นความตายที่ภูเขาใหญ่นี้ชี้ขาด ผ่านไปวันแล้ววันเล่าที่ต้นกล้าใหม่งอกเงยและต้นกล้าเก่าเฉาตาย ในห้วงเหวที่ผมร่วมหล่นอยู่ในความคำนึง
อยู่ๆ ผมก็ขับรถมาหยุดเอาตรงไฟจราจร –ความฉงนงงงวยระคนไปกับภาพตรงหน้าที่ทุกอย่างพร่ามัวเลือนราง แม้กระทั่งความรู้สึกนึกคิดก็เริ่มจะจางหายไปทีละน้อย ภาพในความทรงจำที่ดูเหมือนจะยังไม่ได้เกิดขึ้น สลับตัดไปมาจนไม่รู้เส้นเวลาในความเป็นจริง เป็นภาพที่ยังไม่เคยเกิดขึ้น แต่กลับหลอกหลอนอยู่ในเนื้อเรื่องและเส้นเวลาที่ผ่านมาอย่างยาวนานทำให้รู้สึกอย่างกับว่าเพิ่งผ่านไปเมื่อครู่ ความสับสนที่เหมือนกับในความฝันที่ตัวเองพยายามจะตื่นให้ได้ ในความฝันนั้นเป็นวันที่แดดบ่ายร้อนเหลือเกิน ร้อนเสียจนแสงแดดแผดเผาจนเนื้อร่างซีดจาง ยิ่งนานยิ่งแผดเผาร่างกายก็ซีดจางลงไปเรื่อยๆ เสียจนมองไม่เห็นมือตัวเองด้วยซ้ำ ถนนยางมะตอยที่รับเอาความร้อนของแดดบ่าย ก็ระอุระเหยความอบอ้าวสำทับเข้ากับอุณหภูมิร่างกายที่เลือดข้นสูบฉีดมากเกินจนภาพค่อยๆ มืดดับลง ภาพในความฝันได้ปรากฏภาพเดิมอย่างที่มันเคยเป็น,
ผมยืนนิ่งและหันหน้าปะทะผู้ฅน, ผมได้แต่ก้มหน้าลงด้วยอาการวิงเวียนซึ่งอบอวลไปด้วยกลิ่นซากไคลผิวหนัง ผมหลับตาและพยายามที่จะเดินทางผ่านพวกเขาไป –ไม่ทันที่ผมจะก้าวไปต่อ ปรากฏเงาประหลาดฝูงหนึ่งมุ่งทะลุเข้ากลางตัวผมไปฝูงใหญ่ ในขณะนั้นเองที่ผมได้สังเกตเอาให้ชัดแจ้ง ผมได้แต่อึ้งตะลึงไปกับร่างมหึมาของมัน ผิวหนังของมันหลุดล่อนและหล่นเป็นทางยาว มันพยายามหอบเอาผิวหนังที่ตกตามทางเข้าไว้กับตัว เดินผ่านพวกผู้ฅนเฉียดไปเฉียดมา แวะงัดแงะแกะเอาผิวหนังของฅนอื่นๆ เข้าเก็บไว้กับตัว มันมุ่งหน้ามาที่ผม แล้วมันก็จ้องหน้ามองผมอยู่อย่างนั้น มันเอามือเหี่ยวลุ่ยดึงแขนผมเอาไว้ มันกระชากๆ แล้วลอกเอาผิวหนังที่แขนของผมไปทีละข้าง มันใช้เล็บเลาะเอาผิวหนังของผมไปทีละนิ้วมือ จนกระทั่งเห็นกล้ามเนื้อ กระดูกและเส้นเอ็นบนมือของผม มันเอาเล็บขูดชิ้นเนื้อและเอาใส่เข้าปากเคี่ยวกินช้าๆ ผมเห็นเช่นนั้นผมก็ทำตัวไม่ถูก
มันเงยหน้าขึ้นมองมายังใบหน้าผมอีกครั้ง ครั้งนี้มันยิ้มเยาะแกมหัวเราะในลำคอ มันหยิบเอาผิวหนังของมันมาโปะเข้ากับแขนของผม มันกระซิบข้างหูผมว่า ‘ให้!’ ….ผมสั่นผวาไปทั่วทั้งตัวและอยากให้ช่วงเวลานี้ผ่านไปให้ไวๆ เสียเหลือเกิน, จนสาแก่ใจที่จะโปะเปื้อนผิวหนังของมัน ผมไม่รู้ว่าด้วยปฏิกิริยาอะไร ผมสะบัดๆ ดึงเอาแขนของตัวเองกลับมา และแล้วมันก็มองหน้าผมอีกครั้ง ผมกระซิบบอกผมว่า ‘เชื่อสิ! เชื่อสิ!’ ผมได้แต่ยืนมองมันเอาผิวหนังที่เหลือแปะปะเข้าที่แขนของผมอย่างทุลักทุเล ผมจึงสะบัดทิ้งอีกครั้ง มันเห็นเช่นนั้นมันจึงบอกกับผมว่า ‘ทำไมไม่เชื่อ’ มันพูดอยู่อย่างนั้นซ้ำๆ ผมเห็นเช่นนั้นในที่สุดผมถึงได้เดินหนีออกมา
จากตรงนั้น ผมหันกลับไปมองมันอยู่ครู่หนึ่งจึงเห็นว่า มันก็ทำเฉกเช่นที่ทำกับผมกับพวกผู้ฅนนั้น ผมจึงอดเอาอาการวิงเวียนไว้ไม่ไหว อ้วกออกมาด้วยความสะอิดสะเอียน ….ตรงสี่แยกไฟจราจรบนถนนหมายเลข 1 ผมหยุดอยู่รอไฟสัญญาณแต่ยังไม่รู้จะมุ่งหมายไปยังแยกใด มันเป็นแดดบ่ายที่ร้อนเหลือเกิน ร้อนเสียจนจำความไม่ได้ จะได้แต่ต้องแอบซ่อนเอาความรู้สึกนึกคิดไว้ในใจ คำพูดใดๆ ก็คงได้แต่เงียบปากเอาไว้–แล้วภาพก็ตัดสลับมาที่ตัวผมที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ทางเดินริมเสาของอาคารตึก ผมยังคงนั่งนิ่งเผชิญหน้ากับผู้ฅนแปลกหน้าทั้งหลาย, เหมือนว่าวันนี้เป็นวันตัดสินคดีความ ยังคงเต็มไปด้วยเงาประหลาดในฉากห้องพิจารณาคดีความเดิมที่ขาวโพลนไปด้วยแสงขาวฟุ้งฝุ่นละอองจนดวงตาพร่ามัว ในขณะที่เสียงหวีดหวิวของเงาประหลาดยังคงฝังอยู่ในใจคอยหลอกหลอนวนเวียนในความทรงจำ
“ในคดีความ ‘ว่าด้วย ความรัก’ นี้ จะเป็นโอกาสที่ดีที่จะมอบให้ ในนามของความรักความห่วงใย
เพื่อให้จำเลยได้ปรับเปลี่ยนทัศนคติของตัวเองให้ประพฤติตนให้เหมาะสม
ตามเบ้าแบบของสังคม และตามที่โจทก์ซึ่งได้อ้างพยานหลักฐานและพยานบุคคล
ศาลเห็นว่า จำเลยมีความผิดจริงตามฟ้อง
ทั้งนี้จำเลยได้กระทำความผิดฐานแสดงความไม่เคารพต่อความรักที่มิอาจล่วงละเมิดได้
และยังแสดงเจตนารมณ์อันป่าเถื่อนดื้อด้านอันเป็นการสร้างความเกลียดชังให้เกิดขึ้นต่อบุคคล
และทำให้ทัศนคติระหว่างบุคคลกับบุคลลถูกยุยงให้เกิดแต่ความอาฆาต
ศาลจึงมีความเห็นตามข้อเท็จจริงที่ได้ปรากฏ ว่า ตามข้อกล่าวหาของโจทก์ จำเลยมีความผิดจริง
แต่ด้วยจำเลยให้การเบิกความเป็นประโยชน์และด้วยความไร้เดียงสานั้น
ศาลจึงเมตตาและความรักความห่วงใยนี้ ศาลจะให้ประกันตัวเพื่อต่อสู้ในชั้นต่อไป”
ผมเหม่อ, เผลอนึกคิดไปว่าผมมาที่นี่ทำไม? –ใครต่อใครก็เดินมาให้กำลังใจ กึ่งว่าจะยินดีก็ยินดีไม่ลงจะคัดค้านก็ทำไม่ได้, ในบรรดาใครต่อใครมีเงาประหลาดตัวหนึ่งเดินเข้ามากระชิบบอกผม ทันใดนั้นในแววตาเริ่มจะมืดดับ และสองขาก็อ่อนแรง ทั้งสองตีนก็แทบจะยืนหยัดไว้ไม่ไหว จนไม่สามารถประคับประคองตัวเองเอาไว้ไม่ได้ ผมรู้สึกถึงสองมือที่สั่นสะเทือนจนเส้นเลือดบริเวณปลายนิ้วเย็นเยียบ ผมได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นเร็วเสียจนมันก้องกล่อมประสาทอยู่ในตัว “เห็นไหมถ้าเชื่อตั้งแต่แรก ถ้าไม่ทำอย่างที่ทำก็คงไม่เป็นอย่างนี้หรอก”– ผมได้แต่หายใจเข้าออกในห้วงเหวความรู้สึกนี้, ผมจึงเผลอคิดไปว่า “สองมืออันอ่อนแรง แม้สองตีนจะยังคงยืนหยัดอยู่” ผมจะไปต่อสู้ทัดทานอะไรได้, แม้ใครต่อใครจะบอกว่าผมผิดอย่างไรก็ตาม แต่มันไม่เคยจะสะท้านสะเทือนอะไรผมได้ แต่ผมก็ไม่เคยนึกมาก่อนว่าจะได้ยินคำนี้ที่ทำให้ผมปวดร้าวเหลือเกิน ผมไม่นึกเลยจริงๆ
ในตอนที่ผมรู้ตัวอีกที เงาประหลาดนั่นก็จ้องมองมาที่ผมอีกครั้ง และภาพก็ค่อยๆ เลือนรางไปทีละน้อย มันทับซ้อนฉายภาพตัดไปตัดมา จนในที่สุดผมก็เห็นว่ามันปรากฏเป็นตัวผม กระทั่งผมสะดุ้งตื่นขึ้น ผมก็ยังเห็นเงาประหลาดนั่นอยู่ตรงที่มุมห้อง มันค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ผมทีละนิดและมาหยุดอยู่เอาตรงฃอบเตียง มันเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ มันมองมาที่ผม จนผมเห็นว่ามันเป็นใบหน้าของผมเอง มันยังคงกล่าวเช่นนี้ซ้ำๆ มันกลายเป็นว่าเงาประหลาดนั่นปรากฏตัวในทุกที่ ทั้งในความเป็นจริงและความฝัน หรือ อาจจะแค่ในความฝันที่ผมได้แต่ฝันทับซ้อนกันไปมา
ผมสะดุ้งตื่นขึ้นบนเตียงนอนในท่าทีอันเรียบนิ่งแต่ดวงตาเบิกกว้าง ผมได้แต่ทบทวนซ้ำไปซ้ำมา ในห้วงเหวความรู้สึกเช่นนี้ แม้ผมจะพยายามสลัดทิ้งไปอย่างไร แม้จะดิ้นรนทำอะไรต่อไป มันก็ไม่เคยที่จะปราศจากไปจากความรู้สึกนี้ได้เลย ‘ผมหวาดกลัวตัวเองเหลือเกิน’ ผมจึงรู้ตัวว่าผมยังอยู่ในความฝัน –ภาพตัดกลับมาที่ถนนสายเดิมและไฟจราจรได้ชะงักรถมอไซค์ให้จำต้องหยุดเคลื่อนที่, บนทางแยกเดิมที่ผมเองก็ไม่รู้จะต้องขับไปทางไหน บนทางแยกเดิมอย่างที่ผ่านๆ มา ไม่ว่าผมจะเลือกไปยังหนไหนทางไหน มันจะเวียนกลับมาที่เดิมเสมอ ผมเหนื่อยเหลือเกินกับความฝันเช่นนี้ ผมน่าจะตายๆ ไปเสียจะได้ไม่ต้องมาฝันซ้ำๆ เช่นนี้อีก
———————
.
[7]
[ตัด]
Sequence 3
โรงพยาบาลบ้า | กลางวัน | ข้างใน
– Character: 1. ผม, 2. หมอ
– ไฟสลัว
//ไฟค่อยๆ เปลี่ยนแสง-แสงขาว//ไฟโรงพยาบาลบ้า
ผม
“หมอ, หมอครับ นี่หมอฟังอยู่ไหมครับ”
หมอ
“ครับ! อ้อครับ” “ฟังสิ”
ผม
“อย่ามาโกหกเลยครับ, หมอก็แค่พยักหน้านี่
ถามจริงๆ เถอะ คิดว่าผมไม่รู้เหรอ
หมอไม่ได้อยากรู้ด้วยซ้ำว่าผมจะเป็นยังไง
หมอก็แค่ฟังๆ ไป เพราะเราแค่มาเจอกันที่นี่”
หมอ
“ถ้าคุณไม่สบายใจจะเล่าให้ฟัง
ก็เล่าเท่าที่สบายใจจะเล่าให้ฟัง, หมอก็พร้อมจะรับฟัง”
ผม
“หมอทำลืมๆ ว่ามีผมอยู่ก็ได้นะ
เรามาเจอกันเพราะตามเวลานัดที่หมอให้มาเฉยๆ”
หมอ
“หมอก็อยากทราบว่าคุณเป็นอย่างไรบ้าง?”
“มันเป็นประโยชน์กับกระบวนการที่คุณเข้ารับการรักษา”
ผม
“เอาจริงๆ นะหมอ คือ หมอเป็นหมอ
หมอจะปฏิเสธผมไปก็ได้ ปล่อยผมไปเถอะ!
ผมไม่ได้อยากจะมาที่นี่ หมอก็รู้อยู่แก่ใจนี่”
ถึงแม้ที่หมอจะทำไปเพราะเหตุผลอะไรก็ตาม
อย่างน้อยหมอก็ได้เงินกับการทำงานของหมอไปแล้วนี่
แต่ผมไม่ได้เป็นอะไรเลย หมอจะถามอะไรหนักหนา
ถามจริงๆ นะ ถ้าไม่มีผมเป็นฅนไข้ หมอก็มีงานทำนี่
หมอกำลังจะช่วยเหลือผมจริงๆ
หรือเพราะผมเป็นฅนไข้ให้หมอ หมอก็เลยมีงานทำกันแน่”
หมอ
“เออ!! หมอ….”
ผม
“สรุปแล้วหมอจะวินิจฉัยผมว่าเป็นอะไร
ก็สุดแต่ความรู้หนากะโหลกของหมอก็แล้วกัน
เอายังไงล่ะ สรุปแล้วหมอจะวินิจฉัยผมว่าเป็นอะไร
หะ! จะวินิจฉัยว่าอะไร หะ?!”
“นี่ครับยา ผมเอามาคืน
เอายาคืนไป เราจะได้ไม่มีอะไรติดค้างกัน
นี่….” //หยิบแฟ้มประวัติฅนไข้ “ผมขอชีวิตของผมคืน”
“เราอาจจะได้เจอกันถ้าผมไม่ตายๆ ไปเสียก่อน”
“ให้ผมเชิญคิวต่อไปเข้ามาในนี้ให้เลยไหมครับ
อ้อ…. หรือไม่มันยังไม่ถึงเวลาของฅนอื่น
หมอ
“เออ!! หมอว่า…. ถ้าคุณไม่อยากคุยกับหมอ
คุณขอเปลี่ยนเป็นหมอฅนอื่นก็ได้นะครับ”
ผม
“ไม่ต้องมาทำเป็นพูดหรอกครับ
อันนี้มันเป็นความรับผิดชอบของหมอเหรอ
ก็ไม่ต้องรับทำตั้งแต่แรก ไม่ต้องมาทำว่าผมอยากเปลี่ยน
ตัวหมอเองอยากจะปฏิเสธก็บอกมาเลย ว่าจะปฏิเสธ”
“หมอไม่ต้องมาเอาคำพูดตัวเองไปใส่ในปากใคร
ก็แค่นั้น!! ไม่ต้องมาทำตัวว่าตัวเองหลุดพ้น แล้วฅนอื่นๆ
ก็แค่ฅนผิดปกติในความรู้ความชำนาญการของหมอ”
“ใช่!! ผมมันผิดปกติ แล้วใครมันจะทำไม
ผมมันผิดปกติ ผมมันบ้า ถ้าหมอไม่ยอกจะมาทนฟังผม
ก็แค่บอกมาเลย หัดยอมรับบ้างเถอะ
ไม่ใช่มาบอกว่าผมอยากเปลี่ยนเป็นหมอฅนอื่น
ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วฅนที่อยากเปลี่ยนมันไม่ใช่ผม
อย่าหลอกตัวเองเลยหมอ ไม่ต้องมารักษาหาอะไรผม
ผม
….หมอก็แค่ปล่อยผมไป
ปล่อยผมไปเถอะ ….ปล่อยผมไป!! ปล่อยผมไป!!!!”
//ตัวละคร : ผม กระโดดและวิ่งไปวิ่งมาทั่วห้อง
พร้อมปากตะโกน “ปล่อยผมไปเถอะ….“ปล่อยผมไป!! ปล่อยผมไป!!!!”
“ปล่อยผมไป!! ปล่อยผมไป!!!!” “ปล่อยผมไป!! ปล่อยผมไป!!!!….”
//ไฟค่อยๆ ปิด
.
[จบ]
ผมสะดุ้งตื่นขึ้นในขณะที่ยังคงนอนหลับตาอยู่ แม้จะไม่ใช่กลางดึกและเป็นเวลาช่วงเช้าตรู่ ผมเบิกตาขึ้นช้าๆใกล้เช้าแล้วแต่แสงเช้าก็ยังมาไม่ถึง มีก็เพียงแต่แสงมืดของค่ำคืนอันยาวนาน คืนนี้ช่างเป็นคืนที่ป่าเถื่อนกว่าคืนอื่นๆ เท่าที่ผมจำได้…ทันใดนั้นเสียง ‘กึกกึก กึกกึก’ และเสียงเดิน มาหยุดเอาอยู่ตรงประตูห้องนอน ทำให้ประสาทสัมผัสจ้องไปที่เสียงนั่น ผมลุกขึ้นเดินเข้าไปที่ประตูช้าๆ เอาหัววิ่งกระแทกเข้าไป ประหนึ่งจะทะลุออกไปจากห้องนอน ผมหยุดมองประตูอยู่สักพัก แล้วผมก็กลับมานอนอยู่บนเตียงอย่างเดิม หยิบเอาผ้านวมมาห่มตัว สองมือกำชายผ้าเอาไว้แน่นอยู่ระหว่างคอและอก เสียงพัดลมปะปนเสียงอากาศหายใจเข้าออกในลำคอ ผมนอนจ้องมองเพดานในแสงมืดของเช้าตรู่ ผมเหลือบตาไปมองหน้าต่าง กวาดสายตาไปยังมุมมืดของห้อง ตรงนั้นเป็นมุมห้องที่แสงมืดสาดเข้าไปไม่ถึง มันขยายใหญ่ขึ้นปกคลุมไปทั่วบริเวณนั้น ผมกลอกสายตาไปทั่วทั้งห้อง กลอกลูกกะตาไปมา มันมาหยุดอยู่ปลายตีน
ผ่านไปครู่หนึ่งผมก็เหมือนถูกกระชากออกจากเตียง ผมวิ่งอย่างทุลักทุเล ชายผ้านวมที่พันเข้ากับขาของผมทำให้ล้มเอาตรงฃอบเตียง ผมพยุงตัวเองขึ้นวิ่งอีกหน วิ่งผ่านผ้ากองผะเนินที่ผมถอดทิ้งไว้ วิ่งไปยังตู้เย็น เปิดออกแล้วหยิบเอามีดทำครัวที่ผมเก็บแอบไว้ หยิบได้แล้วผมก็วิ่งกลับมาที่เตียงนอน ผมนอนหงายและทั้งสองมือกำด้ามจับมีดทำครัวเอาไว้แน่น แล้วก็ทิ้งมีดลงแรงแทงเข้ากลางท้องซ้ำๆ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก เร็วเกินกว่าแสงเช้าจะมาถึง –สีขาว, รู้ตัวอีกที ผมก็เหมือนถูกแขวนเอาไว้บนเพดาน ผมลืมตาขึ้นจึงรู้ตัวว่าเมื่อครู่นี้ทั้งหมดก็คือความฝัน.
———————
.