6 จำเลยวัยรุ่นคดีเผาซุ้มฯ รับสารภาพวางเพลิง ไม่เจตนาหมิ่นฯ

6 จำเลยวัยรุ่นคดีเผาซุ้มฯ รับสารภาพวางเพลิง ไม่เจตนาหมิ่นฯ

นัดสอบคำให้การคดีเผาซุ้มเฉลิมพระเกียรติ 3 คดี จำเลยวัยรุ่น 6 คน รับสารภาพเฉพาะข้อหาวางเพลิง และทำให้เสียทรัพย์ใน 2 คดี ปฏิเสธไม่ได้เป็นอั้งยี่-ซ่องโจร-112 นัดสืบพยาน ธ.ค.ปีนี้ ถึง ม.ค.ปีหน้า อีก 2 จำเลยที่ตระเตรียมวางเพลิง รับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา นัดอ่านคำพิพากษา 15 พ.ย.นี้

2 ต.ค. 60 ศาลจังหวัดพลนัดพร้อมเพื่อสอบคำให้การและตรวจพยานหลักฐานคดีเผาซุ้มเฉลิมพระเกียรติในจังหวัดขอนแก่น คดีหมายเลขดำที่ 1267/60-1269/60 ซึ่งพนักงานอัยการจังหวัดพลเป็นโจทก์ยื่นฟ้องจำเลย 8 ราย รวม 3 คดี จำเลยทั้ง 8 ซึ่งเป็นวัยรุ่นชายอายุ 18-20 ปี รวม 6 คน ถูกเบิกตัวมาจากเรือนจำอำเภอพล มาศาลในวันนี้

 

ศาลได้อ่านคำฟ้องของโจทก์ให้จำเลยฟัง และถามคำให้การทีละคดี โดยคดีแรก คดีหมายเลขดำที่ อ.1267/2560 ซึ่งมีนายไตรเทพ (นามสมมติ) และพวกรวม 6 คน เป็นจำเลย โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จนถึงวันที่ 3 พ.ค. 60 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยทั้ง 6 กับพวกได้เข้าเป็นสมาชิกของคณะบุคคลที่มุ่งประสงค์จะวางเพลิงเผาซุ้มเฉลิมพระเกียรติซึ่งประดิษฐานพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 10 ซึ่งตั้งอยู่ร่องกลางถนนสายบ้านไผ่-บรบือ (เป็นความผิดฐานเป็นอั้งยี่) และเมื่อวันที่ 3 พ.ค. จำเลยทั้งหกกับพวกรวม 8 คน ได้ประชุมวางแผนและแบ่งหน้าที่กันทำ เพื่อไปวางเพลิงเผาซุ้มดังกล่าว (เป็นความผิดฐานเป็นซ่องโจร) โดยเวลาต่อมาได้ไปวางเพลิงจนซุ้มฯ ดังกล่าวได้รับความเสียหายบางส่วน คิดเป็นค่าเสียหายจำนวน 3,000 บาท และเป็นการแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ (เป็นความผิดฐานร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น, ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์,  และร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์)

จำเลยทั้ง 6 ให้การรับสารภาพในข้อหาวางเพลิงเผาทรัพย์ และทำให้เสียทรัพย์ ส่วนข้อหาอื่น ๆ ขอให้การปฏิเสธ ศาลจึงตรวจพยานหลักฐานและนัดวันสืบพยาน โดยโจทก์มีพยานบุคคลรวม 22 ปาก คู่ความแถลงว่า พยานซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตรวจสถานที่เกิดเหตุ และจัดทำรายงานตรวจสถานที่เกิดเหตุ จำเลยไม่ติดใจสืบ คงเหลือพยานบุคคลที่จะต้องสืบรวม 21 ปาก นัดสืบพยานโจทก์ในวันที่ 12-15 ธ.ค. 60 และวันที่ 16 ม.ค. 61 รวม 5 วัน ส่วนจำเลยมีพยานบุคคลรวม 12 ปาก นัดสืบพยานจำเลยในวันที่ 17-19 ม.ค. 61 รวม 3 วัน

ในคดีต่อมา คดีหมายเลขดำที่ อ.1268/2560 ซึ่งมีนายไตรเทพ กับพวกรวม 4 คน เป็นจำเลย โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างวันที่ 12-13 พ.ค. 60 จำเลยทั้ง 4 กับพวก ได้เข้าเป็นสมาชิกของคณะบุคคลที่มุ่งประสงค์จะวางเพลิงเผาซุ้มเฉลิมพระเกียรติซึ่งประดิษฐานพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 9 และรัชกาลที่ 10 (เป็นความผิดฐานเป็นอั้งยี่) และจำเลยทั้งสี่กับพวกรวม 7 คน ได้ประชุมวางแผนและแบ่งหน้าที่กันทำ เพื่อไปวางเพลิงเผาซุ้มดังกล่าวในเขต ต.ชนบท อ.ชนบท จำนวน 2 ซุ้ม (เป็นความผิดฐานเป็นซ่องโจร) โดยเวลาต่อมาได้ไปวางเพลิงจนซุ้มฯ ได้รับความเสียหาย คิดเป็นค่าเสียหายรวมทั้งสิ้น 958,000 บาท และเป็นการแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ (เป็นความผิดฐานร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น และร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์)

ทั้งนี้ จำเลยทั้ง 4 ให้การรับสารภาพในข้อหาวางเพลิงเผาทรัพย์ ส่วนข้อหาอื่น ๆ ขอให้การปฏิเสธ และรับว่าเป็นบุคคลเดียวกับจำเลยที่ 1-4 ของคดีหมายเลขดำที่ 1267/2560 ซึ่งโจทก์ขอให้นับโทษจำคุกต่อจากคดีดังกล่าวด้วย ศาลจึงตรวจพยานหลักฐานและนัดวันสืบพยาน โดยโจทก์มีพยานบุคคลรวม 22 ปาก คู่ความแถลงว่า พยานซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตรวจสถานที่เกิดเหตุ และตรวจพิสูจน์ของกลาง รวม 2 ปาก จำเลยไม่ติดใจสืบ คงเหลือพยานบุคคลที่จะต้องสืบรวม 20 ปาก นัดสืบพยานโจทก์ในวันที่ 19-22 ธ.ค. 60 และวันที่ 23 ม.ค. 61 รวม 5 วัน ส่วนจำเลยมีพยานบุคคลรวม 10 ปาก นัดสืบพยานจำเลยในวันที่ 24-25 ม.ค. 61 รวม 2 วัน

นอกจากนี้ ในคดีทั้งสอง ผู้เสียหายคือ นายจำรัส นาคา ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลหินตั้ง อ.บ้านไผ่ และ นายชัชวาล ตั้งวัฒนสุวรรณ นายกเทศมนตรีเทศบาลชนบท อ.ชนบท ได้ยื่นคำร้องบังคับให้ชดใช้ค่าเสียหายในส่วนแพ่ง ศาลจึงมีคำสั่งให้ฝ่ายจำเลยยื่นคำให้การในส่วนแพ่งนี้ภายใน 15 วัน อีกทั้ง ในแต่ละคดี มีพยานโจทก์ซึ่งเป็นเด็กอายุไม่เกิน 18 ปี จำนวน 4 ปาก ศาลได้มีคำสั่งให้นักจิตวิทยาเข้าร่วมในวันนัดสืบพยานปากดังกล่าวด้วย

ส่วนคดีหมายเลขดำที่ อ.1269/2560 ซึ่งมีนายหนูพิณ (สงวนนามสกุล) กับพวกรวม 2 คน เป็นจำเลย โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างวันที่ 12-13 พ.ค. 60 จำเลยทั้ง 4 กับพวก ได้เข้าเป็นสมาชิกของคณะบุคคลที่มุ่งประสงค์จะวางเพลิงเผาซุ้มเฉลิมพระเกียรติซึ่งประดิษฐานพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 9 (เป็นความผิดฐานเป็นอั้งยี่) และจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันตระเตรียมวางเพลิงเผาซุ้มดังกล่าวในเขต อ.เปือยน้อย อันเป็นการแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ (เป็นความผิดฐานร่วมกันตระเตรียมวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น และร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์)

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่ต่อมาเปลี่ยนเป็นให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ศาลจึงมีคำสั่งให้พนักงานคุมประพฤติสืบเสาะความประพฤติของจำเลยทั้งสองรายงานต่อศาล และนัดอ่านคำพิพากษาในวันที่ 15 พ.ย. 60 เวลา 09.00 น.

เป็นที่น่าสังเกตว่า จำเลยทั้ง 8 ถูกนำตัวมาจากเรือนจำโดยมีโซ่เส้นหนาล่ามข้อเท้าทั้งสอง ซึ่งในเวลาเดินจากห้องขังด้านหลังศาลมาที่ห้องพิจารณาคดีชั้นบน จำเลยต้องก้มลงใช้มือจับโซ่ไว้ตลอดเวลา เพื่อให้เดินสะดวก แตกต่างไปจากจำเลยในศาลอื่น ซึ่งมักจะมีเชือกต่อจากโซ่ ทำให้จำเลยเดินตัวตรงโดยจับเชือกเพื่อดึงโซ่ไม่ให้เป็นอุปสรรคในการเดินได้ ซึ่งกรณีดังกล่าวนี้ถือเป็นการปฏิบัติที่โหดร้ายต่อผู้ต้องขัง

คดีทั้งสามนี้สืบเนื่องจากกรณีที่มีการก่อเหตุเผาซุ้มเฉลิมพระเกียรติในอำเภอบ้านไผ่ และอำเภอชนบทในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม 2560 ต่อมา วันที่ 17 พ.ค. 60 ทหารและตำรวจได้เข้าจับกุมเยาวชนชาย (อายุ 14 ปี) 1 คน วัยรุ่นชาย (อายุ 18-20 ปี) 6 คน จากบ้านและสถานศึกษาในตำบลบ้านแท่น อ.ชนบท และชายวัย 25 ปี 1 คน จากอำเภอโนนศิลา รวมทั้งตามจับชายวัย 64 ปี อีก 1 คน ได้ที่ อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี  นำไปควบคุมตัวที่มณฑลทหารบกที่ 23 จ.ขอนแก่น และมณฑลทหารบกที่ 11 กรุงเทพฯ รวม 6 วัน ก่อนส่งตัวให้ตำรวจดำเนินคดีในข้อหา ร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์, ทำให้เสียทรัพย์, เป็นอั้งยี่ และซ่องโจร โดยผู้ต้องหา 8 คน ถูกนำตัวไปขังระหว่างสอบสวนที่เรือนจำอำเภอพล และแยกเยาวชนชายไปควบคุมตัวไว้ที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดขอนแก่น ซึ่งญาติผู้ต้องหาบางคนพยายามยื่นประกันตัว แต่ศาลไม่อนุญาต

ต่อมา หลังครบกำหนดฝากขังรวม 48 วัน ผู้ต้องหา 8 คน ได้รับการปล่อยตัวออกจากเรือนจำฯ จากนั้นวันที่ 16 ส.ค. 60 ผู้ต้องหาทั้ง 8 ถูกแจ้งข้อกล่าวหาร่วมกันหมิ่นประมาทฯ พระมหากษัตริย์ เพิ่มเติม และถูกนำตัวส่งฟ้องต่อศาลจังหวัดพลในวันเดียวกัน ขณะที่เยาวชนชายอายุ 14 ปี ถูกแยกฟ้องต่อศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดขอนแก่น

ในชั้นสอบสวนซึ่งยังไม่มีการแจ้งข้อหา 112 ทั้งหมดให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยจำเลยส่วนใหญ่ให้ข้อมูลว่า ขณะถูกควบคุมตัวอยู่ที่ค่ายทหาร และสถานีตำรวจ รวม 7 วัน ที่พวกเขาไม่สามารถติดต่อใครได้ พวกเขาถูกสอบปากคำทีละคนตามลำพังกับเจ้าหน้าที่หลายๆ รอบ และพวกเขาให้การรับสารภาพไปโดยไม่มีใครอธิบายให้เขาเข้าใจว่า ข้อกล่าวหาว่า เป็นอั้งยี่, เป็นซ่องโจร คืออะไร

 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง:

คดีเผาซุ้มเฉลิมพระเกียรติ: ควบคุมตัวเด็ก 14 ในค่ายทหาร และการควบคุมตัวมิชอบที่เกิดขึ้นซ้ำซาก

ศาลไม่ให้ประกัน ผู้ต้องหาวัยรุ่นคดีเผาซุ้มฯ แม้อ้างเหตุยังเป็นผู้เยาว์

ฟ้อง 112 แปดผู้ต้องหาคดีเผาซุ้มฯ เพิ่มเติมจาก 4 ข้อหาเดิม

X