วันที่ 15 ต.ค. 2567 เวลา 09.00 น. ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางนัดฟังผลการปฏิบัติตามมาตรการพิเศษของ “ภูมิ หัวลำโพง” (นามสมมติ) นักกิจกรรมเยาวชนและอาสากู้ภัยวัย 20 ปี ใน 2 คดี ได้แก่ คดีมาตรา 112 กรณีเข้าร่วมกิจกรรมเรียกร้องให้ปล่อยตัว “นิว” สิริชัย นาถึง ซึ่งถูกจับกุมไปยัง สภ.คลองหลวง เมื่อวันที่ 14 ม.ค. 2564 และคดีมั่วสุมก่อความวุ่นวาย ตามมาตรา 215 จากการร่วมชุมนุม #ม็อบ2พฤษภา64 ของกลุ่ม REDEM
สำหรับคดีตามมาตรา 112 เมื่อวันที่ 18 ต.ค. 2566 ภูมิได้ให้การรับสารภาพ ก่อนศาลเห็นควรให้ใช้มาตรการพิเศษแทนการพิพากษาคดี ตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวฯ มาตรา 132 วรรค 2 โดยให้ส่งตัวจำเลยไปที่สถานพินิจฯ เป็นเวลา 1 ปี ให้อบรมหลักสูตรวิชาชีพ 2 หลักสูตร และให้ ผอ.สถานพินิจฯ รายงานความประพฤติจำเลยให้ศาลทราบทุก 3 เดือน
จากคำสั่งดังกล่าวทำให้ภูมิต้องถูกควบคุมตัวในสถานพินิจฯ บ้านเมตตา ในระหว่างนั้น แม้ที่ปรึกษากฎหมายได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลเปลี่ยนแปลงคำสั่ง 2 ครั้ง เนื่องจากมีข้อเท็จจริงที่เปลี่ยนแปลงไป ที่สำคัญคือมารดาของภูมิได้เดินทางกลับจากทำงานต่างประเทศแล้ว และพร้อมจะดูแลภูมิในฐานะผู้ปกครอง แต่ศาลเยาวชนฯ ยังเห็นว่า ไม่มีเหตุให้เปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม
ต่อมา ที่ปรึกษากฎหมายได้เข้ายื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลเยาวชนฯ ในวันที่ 9 ก.ค. 2567 ศาลอุทธรณ์ชำนัญพิเศษมีคำพิพากษาว่า จากที่ศาลชั้นต้นเห็นควรให้ใช้มาตรการพิเศษแทนการพิพากษาคดี ตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวฯ มาตรา 132 วรรค 2 กำหนดให้ส่งตัวจำเลยไปที่สถานพินิจฯ เป็นเวลา 1 ปี ให้อบรมหลักสูตรวิชาชีพ 2 หลักสูตร และให้ ผอ.สถานพินิจฯ รายงานความประพฤติจำเลยให้ศาลทราบทุก 3 เดือนนั้น ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแล้วเห็นชอบด้วย ไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม พิพากษายืน
ส่วนในคดีร่วมชุมนุม #ม็อบ2พฤษภา64 ของกลุ่ม REDEM นั้น เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. 2566 ภูมิได้ให้การรับสารภาพ ก่อนศาลเห็นควรให้ใช้มาตรการพิเศษแทนการพิพากษาคดี ตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวฯ มาตรา 132 วรรคหนึ่ง ก่อนภายหลังมีการเปลี่ยนแปลงแผนบำบัดฟื้นฟูเป็นมาตรา 132 วรรคสอง เพื่อให้สอดคล้องกับคดีมาตรา 112 ที่ภูมิต้องถูกส่งไปอยู่ในบ้านเมตตา
.
ในวันนี้ (15 ต.ค. 2567) เวลา 09.00 น. ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 4 แม่ อาม่า น้องสาว และเจ้าหน้าที่กู้ภัยจากมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง 2 คน ซึ่งเป็นหัวหน้างานของภูมิ เดินทางมาให้กำลังใจภูมิ ส่วนภูมิในเสื้อโปโลสีเหลืองของสถานพินิจฯ ถูกเบิกตัวมาเพื่อฟังคำสั่ง
ประสงค์ กระจ่างวุฒิชัย ผู้พิพากษาออกนั่งพิจารณา ก่อนอ่านคำสั่งในคดีมาตรา 112 ศาลได้อ่านรายงานของสถานพินิจระบุว่า จำเลยเข้าแผนบำบัดฟื้นฟู ลงทะเบียนเรียนในระดับมัธยมปลาย เข้าอบรมวิชาชีพ และทำกิจกรรมเตรียมความพร้อมก่อนพิจารณาคดีเยาวชน กิจกรรมฟื้นฟู กิจกรรมบำบัดพื้นฐาน กิจกรรมส่งเสริมศักยภาพเชิงบวก กิจกรรมเรียนรู้การยับยั้งชั่งใจ อบรมจริยธรรม คุณธรรม และการบำบัดยาเสพติด ซึ่งเยาวชนแถลงว่า ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ยกเว้นสุราและบุหรี่ แต่เมื่ออยู่ในสถานพินิจก็เลิกแล้ว
เยาวชนมีปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับทางเดินอาหารและไหล่ขวาหลุด แต่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม แพทย์ได้นำเหล็กยึดไหล่ออกแล้ว
เยาวชนลงทะเบียนเรียนการศึกษาขั้นพื้นฐานจนสำเร็จการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น และลงทะเบียนเรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ภูมิแถลงเพิ่มเติมว่า ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย เขาสอบเสร็จแล้ว แต่จะทราบผลการเรียนในเดือนพฤศจิกายน
นอกจากนี้ ภูมิยังผ่านการอบรมวิชาชีพระยะสั้น 2 หลักสูตร ได้แก่ บาริสต้า และกิจกรรมกระดาษอัด ซึ่งครูเห็นว่าเยาวชนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
สถานพินิจจึงให้ความเห็นว่า เยาวชนได้เรียนรู้ ปรับปรุงตัวดีขึ้น บำบัดฟื้นฟูครบตามแผนเรียบร้อยแล้ว สามารถเป็นคนดีของสังคม เยาวชนยังมีแผนอาชีพในอนาคต ซึ่งครอบครัวก็ให้การสนับสนุน แม่ภูมิแถลงเพิ่มเติมว่า ถ้าภูมิออกมาก็จะให้ทำงานที่ทำอยู่ คือ อาสาสมัครมูลนิธิกู้ภัย และเจ้าหน้าที่กู้ภัยซึ่งเป็นหัวหน้างานของภูมิก็แถลงด้วยเช่นกันว่า ในตอนที่ภูมิยังเป็นอาสากู้ภัยสามารถทำงานได้ดีมาก ช่วยเหลือประชาชน และหากภูมิออกจากบ้านเมตตาก็ยังสามารถกลับไปทำงานได้
ศาลเห็นว่า สถานพินิจรายงานว่าจำเลยปฏิบัติตามแผนครบถ้วนแล้ว จำเลยมีความประพฤติดีขึ้น สำนึกในการกระทำ สมควรให้โอกาสกลับตนเป็นพลเมืองดี จึงมีคำสั่งให้ยุติคดี จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ สิทธิการฟ้องคดีของโจทก์ระงับไป และให้ลบประวัติอาชญากร
หลังจากฟังคำสั่งศาลในคดีมาตรา 112 แม่และอาม่าของภูมิถึงกับร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ และกอดภูมิไว้แน่น
ต่อมาทุกคนได้ย้ายไปที่ห้องพิจารณาคดีที่ 9 เพื่อฟังคำสั่งในคดีมั่วสุมก่อความวุ่นวาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 215 และฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จากการร่วมชุมนุม #ม็อบ2พฤษภา64 ของกลุ่ม REDEM
ผู้พิพากษาออกนั่งพิจารณาคดี และอ่านคำสั่งสรุปใจความได้ว่า สถานพินิจฯ รายงานว่า เยาวชนปฏิบัติตามแผนครบถ้วนแล้ว เยาวชนมีความประพฤติดีขึ้น สำนึกในการกระทำ จึงมีคำสั่งให้ยุติคดี จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ สิทธิการฟ้องคดีของโจทก์ระงับไป และให้ลบประวัติอาชญากร
อย่างไรก็ตาม ภูมิยังมีคดีฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จากกรณีร่วมชุมนุมหน้าสถานทูตพม่าในการชุมนุม #ม็อบ8กุมภา64 ซึ่งภูมิเคยเข้าแผนบำบัดฟื้นฟูตามมาตรา 132 วรรคหนึ่ง ก่อนเปลี่ยนแปลงเป็นมาตรา 132 วรรคสอง เพื่อให้สอดคล้องกับคดีมาตรา 112 ที่ต้องเข้าสถานพินิจเช่นกัน ซึ่งคดีดังกล่าวมีนัดฟังผลการปฏิบัติตามแผนฟื้นฟูในวันที่ 11 พ.ย. 2567 ส่งผลให้ภูมิยังไม่ถูกปล่อยตัวในทันที
ที่ปรึกษากฎหมายจึงได้ยื่นคำร้องในคดีดังกล่าว ระบุว่า ข้อเท็จจริงและพฤติการณ์มีเหตุให้เปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม กล่าวคือ ในคดีมาตรา 112 ศาลมีคำสั่งให้ยุติคดีแล้ว จึงขอให้ศาลมีคำสั่งยุติคดีนี้ด้วยเช่นกัน
ต่อมา เวลา 13.10 น. ที่ปรึกษากฎหมายได้รับแจ้งว่า ให้รอฟังคำสั่งในคดีดังกล่าวได้ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 9 จากนั้นผู้พิพากษาได้อ่านคำสั่ง สรุปได้ว่า ตามรายงานของสถานพินิจฯ เยาวชนได้เข้าแผนบำบัดฟื้นฟูเรียบร้อยแล้ว ได้ฝึกวิชาชีพ 2 หลักสูตร เยาวชนมีอาการบาดเจ็บแต่รักษาแล้ว เมื่อเยาวชนสำนึกผิด แก้ไขปรับปรุงตัว พร้อมออกไปใช้ชีวิตในสังคม เห็นควรให้ปล่อยตัวไปศึกษาและประกอบอาชีพต่อไป จึงมีคำสั่งให้ยุติคดี จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ สิทธิการฟ้องคดีของโจทก์ระงับไป และให้ลบประวัติอาชญากร
เมื่อศาลมีคำสั่งให้ยุติคดีทั้ง 3 คดีข้างต้น ส่งผลให้ภูมิถูกปล่อยตัวในช่วงเย็นวันเดียวกันนี้ หลังจากถูกคุมขังที่สถานพินิจฯ บ้านเมตตามาตั้งแต่วันที่ 18 ต.ค. 2566 รวมระยะเวลาถึง 364 วัน