“หัวใจมันตก มันแตก”: คุยกับเพื่อน ‘ต้าร์’ ในวันที่มิตรสหายถูกอุ้มหายไป

ตามหน้าสื่อมวลชน “ต้าร์” วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ มีสถานะเป็นนักกิจกรรม เป็นผู้ลี้ภัยทางการเมือง และกลายเป็นผู้ที่ถูกบังคับให้สูญหาย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเขาได้จุดประกายการรับรู้เรื่องการบังคับบุคคลสูญหาย (enforced dissappearance) อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน และเป็นความรุนแรงโดยรัฐประเภทหนึ่ง รวมทั้งนำไปสู่ปรากฏการณ์ #saveวันเฉลิม และการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์เพื่อทวงคืนความเป็นธรรมให้กับเขา และเหล่าผู้ถูกบังคับให้สูญหายในประวัติศาสตร์ไทย 

หากแต่ในมุมมองของมิตรสหายคนหนึ่งซึ่งรู้จักเขา ต้าร์เป็น “คนที่อยู่ในทุกช่วงของชีวิต” ของเพื่อน เป็นเพื่อนที่จริงใจ ไม่เคยทิ้งเพื่อน และไม่เคยบังคับให้เพื่อนมาคิดเหมือนตัวเอง

“หัวใจมันตก มันแตก” เป็นคำอธิบายปนสะอื้น ที่ณภัทร ปัญกาญจน์ หรือ “เจี๊ยบ” เพื่อนของต้าร์เล่าถึงความรู้สึกเมื่อทราบข่าวของเพื่อน ต้าร์เป็นแรงผลักดันพาเธอเข้าสู่การทำกิจกรรมเพื่อสังคม เพื่อนที่คอยพูดคุยอัพเดทเรื่องราวในชีวิตกันมานับสิบปี ตั้งแต่การถูกอุ้มหายไปของเพื่อนจากหน้าคอนโดที่ประเทศกัมพูชา เมื่อเย็นวันที่ 4 มิถุนายน ผ่านมาเกือบหนึ่งสัปดาห์ เธอยังนอนหลับได้ไม่เต็มตาอีกเลย

จากที่มีหวังจะได้เจอกันหลังจากไม่ได้พบกันตัวเป็นๆ มานับแต่ต้าร์ลี้ภัย นั่นคือ 6 ปีล่วงมาแล้ว ความหวังนั้น ก็ดูเหมือนจะยิ่งเลือนลางลงไป

“ใจหนึ่ง ถ้าเรายังไม่เห็นหลักฐาน ไม่เห็นร่าง เราจะไม่อยากรู้สึกว่ามันไปแล้วนะ แต่อีกใจหนึ่งก็เริ่มไม่มั่นใจ เพราะตัวอย่างที่มีให้เห็นที่ผ่านมา กี่คนๆ ที่ถูกเอาไป ก็ไม่ได้กลับมา มันก็ทำให้เรารู้ว่ามันไม่อยู่แล้ว แต่ก็รู้สึกว่าไม่อยากให้เป็นแบบนี้ ยังอยากให้มันกลับมาอยู่”

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ชวนคุยกับเพื่อนของต้าร์คนนี้ ชวนทำความรู้จักกับต้าร์ผ่านมุมมองของความเป็นเพื่อน ความเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ที่มีมิตรภาพ มีครอบครัว มีความสัมพันธ์ มีคนรัก มีคนเกลียด และการถูกบังคับให้หายตัวไปของเขา เป็นการกระทำที่ละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของมนุษย์คนหนึ่งอย่างร้ายแรง

.

รู้จักกับต้าร์ได้ยังไง?

ตอนนั้นราวสิบปีที่แล้ว เราก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ทั้งเสพยา เล่นการพนัน แล้วเหมือนกับมันมีจุดเปลี่ยนในชีวิต เราก็อยากจะเลิก แล้วก็อยู่ๆ มันก็มีไฟว่า เราอยากทำงานอาสา อยากเอาสิ่งที่เราเคยเสียไปในอดีตมาทำประโยชน์กับคนที่กำลังหมดหวัง หมดกำลังใจ คนที่อยากเลิกยา คนที่ท้องก่อนวัยอันควร เลยลองไปกูเกิ้ลดู ก็ไปเจอเบอร์ติดต่อ องค์กรชื่อศูนย์กิจกรรมเยาวชนเพื่อชุมชนและสังคม หรือ Youth Action for Community and social เรียกสั้นๆ ว่า Y-ACT (วายแอค) ที่ต้าร์เป็นผู้ก่อตั้งและผู้ประสานงานอยู่ เราก็โทรไปถามว่ามีงานอะไรให้เราทำไหม เราไม่เอาเงินนะ

ต้าร์เป็นคนรับสาย มันก็งงๆ ว่าคุณเป็นใครมาจากไหน มันก็เลย อ่ะ เรามานัดเจอกันหน่อย คุณไอเดียดีนี่ อยากทำโน่นนี่ เพราะต้าร์มันเป็นเจ้าโปรเจ็กต์อยู่แล้ว มันเป็นคนที่มีโครงการมากมายอยู่ในหัว จริงๆ ต้าร์เป็นรุ่นน้อง ต้าร์อ่อนกว่า แต่ตอนเจอกันครั้งแรกมันบอกว่า “เห้ยกูรู้สึกว่ามึงเป็นเพื่อนว่ะ ไม่ใช่เป็นพี่กู กูเรียกมึงว่าเจี๊ยบละกันนะ” แล้วก็คุยกันมาตั้งแต่ตอนนั้น

สมัยก่อนเราก็คิดว่างานอาสา งานเยาวชน คือไปเป็นที่ปรึกษาให้กับคนที่เขาอยากฆ่าตัวตาย คนที่เขาอยากเริ่มต้นใหม่  เราไม่รู้ว่ามันมีกิจกรรมหรือรูปแบบที่ต้าร์พาเราเข้าไปเห็น ต้าร์พาไปรู้จักกับกลุ่มเยาวชนต่างๆ ไปทำงานเรื่องเอดส์ เรื่องเพศ เรื่องท้องก่อนวัยอันควร คือพาเข้าไปรู้จัก เป็นนักกิจกรรม คือเป็นอะไรมากมายอย่างที่ต้าร์เป็น ก็สนิทกันมาตั้งแต่ตอนนั้น 

.

เหมือนต้าร์เป็นคนที่พาเราเข้าไปทำกิจกรรม?

ใช่ พาเราเข้าไปรู้จักโลกอีกโลกหนึ่ง ที่เราไม่เคยรู้จักเลยว่ามันมีการทำกิจกรรมเพื่อสังคมอยู่อย่างนี้ มันมีการออกไปรณรงค์เรื่องยาเสพติด เรื่องท้องไม่พร้อม ออกไปรณรงค์เรื่องเอดส์ เรื่องเพศศึกษา ให้ความรู้แก่นักเรียนมัธยม คือเราได้ไปทุกโรงเรียนที่มันเป็นเครือข่ายเยาวชนด้านเอดส์ ไปให้ความรู้ อีกทั้งบางโรงเรียนเรายังได้เป็นเคสตัวอย่างที่อธิบายให้น้องๆ ฟังด้วยว่า เราเคยพลาดมายังไง ไม่อยากให้น้องๆ พลาดอย่างเรา 

.

พูดได้ไหมว่า ต้าร์เป็นแรงบันดาลใจที่พาเจี๊ยบเข้าไปสู่การทำกิจกรรมเหล่านี้?

เรียกว่าต้าร์เป็นผู้ช่วยผลักดันดีกว่า เป็นกำลังเสริม เป็นคนคอยสนับสนุน ให้คำแนะนำ “เฮ้ย เจี๊ยบมึงทำอย่างนี้สิ” คือเราเป็นนักเขียนมาก่อน แล้วทีนี้ต้าร์มันจะเป็นคนที่ดึงความสามารถของคนๆ นั้นให้ออกมาใช้ในงานต่างๆ ได้ดีมาก ต้าร์ก็จะบอกว่า “เจี๊ยบมึงเขียนนี่มา มึงเดินทางไปนี่เลยนะ ไปกลุ่มเยาวชนที่ภาคนั้นภาคนี้นะ ไปเขียนเรื่องของเขา แล้วส่งมา เราจะทำหนังสือเกี่ยวกับประวัติเครือข่ายเยาวชนด้านเอดส์นะ” อย่างนั้นอย่างนี้ มันก็จะเหมือนเป็นแรงผลักดัน ทำให้เรามีกำลังใจที่จะใช้ความสามารถพิเศษของเราในการทำงานได้ อันนี้ในบริบทของเรื่องงาน 

ส่วนเรื่องส่วนตัว สำหรับเรา ต้าร์มันอยู่ในทุกช่วงของชีวิต มันเป็นคนที่คอยให้กำลังใจ อย่างล่าสุดมันจะมาถามตลอด เจี๊ยบเป็นยังไง ทำอะไรอยู่ คบกับใครอยู่ มีผัวไหม โสดไหม สุขภาพเป็นยังไง ไหนเล่ามาสิ เล่ามายาวๆ บริบทของชีวิตเป็นยังไง พิมพ์มายาวๆ มันจะพิมพ์มาไว้ใน Messenger ช่วงนี้คิดถึงมัน ก็เลยมาไล่อ่านข้อความเก่าๆ ว่าเราเคยคุยอะไรกันไปบ้าง ก็เออว่ะ มึงอยู่ทุกช่วงของชีวิตกูจริงๆ เลยเนี่ย

.

.

เหตุการณ์ในชีวิตเขา การเมือง และก็รวมถึงเราที่เป็นเพื่อน ดำเนินควบคู่กันไปยังไง?

เรื่องการเมืองกับต้าร์และบนความเป็นเพื่อน เราไม่ได้เห็นด้วยกับต้าร์ทุกเรื่อง แล้วเราไม่ได้เห็นต่างกับต้าร์ทุกเรื่อง บางเรื่องเราก็รู้สึกว่ามันพูดถูก บางเรื่องเราก็รู้สึกว่าเราไม่เห็นด้วย แต่ว่าบนความเป็นเพื่อน ถ้าอันไหนที่แรง เราจะบอก “เฮ้ย ต้าร์เบา เบาได้เบานะเว้ย”

แต่ต้าร์จะไม่เคยเอาเรื่องการเมืองมาคุยกับเราเลยสักครั้ง เหมือนกับว่ามันก็คงรู้แหละว่าคนไหนควรจะคุยอะไร แล้วมันก็พอจะรู้ว่าเราไม่ได้อินเรื่องการเมือง ต้าร์ไม่เคยบังคับคนใกล้ชิดหรือใครก็ตามให้เห็นด้วยกับต้าร์ ต้าร์เคารพในความคิดของทุกคน ในความเห็นต่าง ซึ่งอันนี้ก็เป็นสิ่งที่ต้าร์ทำมาโดยตลอด

แต่ละคนมีการแสดงออกไม่เท่ากัน ต้าร์แค่แสดงจุดยืนของตัวเองมาว่าเป็นแบบนี้ๆ ต่อสื่อสาธารณะ แต่ต้าร์ไม่เคยจะเข้าไปหาเพื่อนคนไหน ไปคอมเม้นต์ไม่ดี อย่างคนไหนไม่เห็นด้วยกับต้าร์ ต้าร์ก็ไม่เคยไปว่าหรืออะไร ทั้งที่หลายๆ คนพอเห็นต้าร์ไปแบบนี้ก็มาด่าต้าร์ในคอมเมนต์ 

.

ตอนที่เขาต้องลี้ภัยในปี 2557 รู้สึกเป็นยังไงบ้าง

ตอนนั้นติดต่อเขาไม่ได้เลย แล้วต้าร์ก็ไม่ได้ติดต่อกับใครด้วย แต่คือเราสนิทกับพี่เจน (พี่สาวของต้าร์) ต้าร์พาพี่เจนมารู้จักกับเรา ทำไมก็ไม่รู้ (หัวเราะ) อยู่ๆ มันก็นัดมาให้ทำความรู้จักกัน เพราะว่าในกลุ่มเพื่อนไม่มีใครรู้จักพี่เจนเลยนอกจากเราคนเดียว พอรู้ว่าต้าร์ลี้ภัยไป เราก็จะถามพี่เจน พี่เจนก็บอกว่ามันก็อยู่ได้ของมันแหละ ไม่ได้มีเรื่องร้ายแรงอะไร ก็รอจนกว่ามันจะติดต่อกลับมา หลังจากนั้น นานมากเลยแหละ มันก็ทักมาใน Messenger ถึงจะได้เริ่มติดต่อกัน

.

ต้าร์ในมุมที่เจี๊ยบรู้จัก เป็นคนยังไง

ต้าร์เป็นคนที่ผู้ใหญ่เอ็นดู เป็นคนอ่อนน้อม ไม่มีใครเข้าไปหาต้าร์ แล้วต้าร์จะปฏิเสธ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหนก็ตาม “ต้าร์ช่วยอันนั้นกูหน่อย ต้าร์โทรหาคนนั้นให้หน่อย ต้าร์มีอันนี้ไหม” ต้าร์ไม่เคยบอกว่าไม่มี ไม่ได้ ไม่ทำ ต้าร์จะบอก “ไหนเอามาดูซิ ก็จะช่วยได้เท่าที่ช่วยได้แล้วกันนะ” ต้าร์จะเป็นคนแบบนี้ มันเป็นคนมีน้ำใจ

แล้วปกติ เพื่อนจะไม่คุยกับเราเรื่องเงินหรอก กลัวเราจะยืมเงิน ถูกไหม แต่ต้าร์เป็นเพื่อนคนเดียวที่ถามเราว่า ช่วงนี้มีเงินใช้มั้ย ธุรกิจเป็นยังไง หมุนเงินทันไหม ต้าร์เป็นคนเดียวที่ถามเราด้วยคำถามนี้ตลอดเวลา ล่าสุดเขายังถามอยู่เลย ก่อนที่มันจะไป

แต่ล่าสุดมันก็พิมพ์อะไรมายาวๆ อยู่ๆ ก็มาบอกว่า “กูห่วงนะ กูรักมึงนะ กูคิดถึงมึงนะ บางทีกูก็โกรธมึง เกลียดมึง” พิมพ์มายาวมากเลยนะ จนเราคิดว่า มันเป็นอะไรเปล่าวะ สั่งเสียหรือเปล่าวะ อันนี้มันพิมพ์มา คือเราคุยกับเกือบทุกวัน แต่เกือบทุกวันเป็นการตะโกนด่ากันมากกว่า เราก็จะพิมพ์ทิ้งไว้เวลา มันว่างเดี๋ยวมันก็จะมาตอบ ตอนที่มันกลับมา 

ส่วนข้อความอันนี้มันพิมพ์มาให้วันที่ 8 เดือนพฤษภาคม แต่ว่าหลังจากนั้นมันจะมีส่งเสียงว่า “เจี๊ยบมึงทำอะไรอยู่ เจี๊ยบมึงทำอะไรเพื่อประเทศชาติมั่งมั้ย” มันชอบแบบนี้ไง แต่ไอ้ข้อความที่อ่านแล้วเอ๊ะอ่ะ เอ๊ะ ตอนที่มันถูกจับไปนี่แหละ คือเอ๊ะตอนแรก เราว่าแบบ มาลักษณะนี้คืออะไร ทั้งๆ ที่ปกติเราไม่ได้คุยกันนิ่งๆ แบบนี้ไง 

“บางทีกูก็โกรธมึง บางทีกูก็คิดถึงมึง กูก็รักมึงนะ กูโกรธมึง แต่กูก็เห็นชีวิตมึงเป็นอย่างนั้น กูก็มีความสุขและตื่นเต้นกับความเป็นไปของมึง” อย่างเนี้ย เราอ่านแล้วเราก็รู้สึกมันแปลกๆ ไง แล้วเราก็ตอบไปว่า กูรักมึงนะต้า มึงเป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่งในชีวิตของกู กูรู้สึกขอบใจมึงมากๆ เลย เราก็ตอบไป โดยที่ก่อนหน้านี้เราก็ไม่เคยคุยอย่างนี้กับมันมาก่อน เหมือนกับอยู่ๆ เรามาบอกสิ่งที่ปกติไม่ได้บอกกัน

พอมันมาเจอเรื่องนี้ พอกลับไปอ่านใหม่ เราก็ เฮ้ย หรือว่ามันจะเป็นการสั่งเสียหรือเปล่า เราก็ไม่อยากจะคิดอย่างนั้นนะ แต่มันก็เป็นสิ่งที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นระหว่างเราสองคนที่มาพูดอะไรดีๆ ด้วยกันอย่างนี้ 

.

.

เขาเคยปรับทุกข์ หรือเล่าให้ฟังถึงความกังวลใจบ้างไหม?

เขาจะไม่ได้มาในรูปแบบการปรับทุกข์ แต่เขาจะมาในรูปแบบตัวหนังสือที่เรารู้เลยว่า มันเครียดอยู่ เรารู้อยู่ว่าเพื่อนเราเป็นคนยังไง ถ้ามาลักษณะนี้เราก็จะโทรกลับไปถามว่าเป็นอะไร มันก็จะชวนคุยประเด็นอื่น หัวเราะเฮฮาตามประสาไป ก็เหมือนเป็นการคลายเครียดของมัน แต่มันจะไม่มีมาปรับทุกข์ มันจะไม่เคยมาบอกเลยว่าตอนนี้มันรู้สึกยังไง 

ต้าร์เป็นคนที่จัดระบบทุกอย่างในชีวิตไว้ได้ดีมาก อาจจะจัดระบบของเพื่อนคนไหนว่ามันอยากจะให้รู้อะไรได้แค่ไหน รู้แล้วมีผลต่อชีวิตเขายังไง เราคิดว่ามันจัดแบบนั้น มันอาจจะแบบไม่ให้เรารู้เรื่องอะไรๆ ของมันเลย เพราะว่าไม่อยากให้เรามายุ่งมันเป็นห่วง

.

แล้วตอนที่รู้ข่าวต้าร์หายตัวไป เป็นยังไงบ้าง?

รู้ข่าวเพราะมีรุ่นน้องส่งลิงก์มาให้ดู วินาทีแรกคือสั่นเลยนะ สั่นแล้วก็พูดกับตัวเอง “นี่เรื่องเหี้ยไรวะแม่ง” พยายามรู้สึกว่ามันไม่น่าใช่ แต่คือเคยคุยกับต้าร์อยู่ว่า “ต้าร์เบาได้เบา เดี๋ยวมึงก็ตายหรอก ต้าร์มันก็บอกอย่ายุ่งน่ะ”

เราตกใจมาก สั่นไปหมดเลย แล้วก็พยายามคิดว่า มันไม่น่าจะร้ายแรง รีบโทรหาพี่เจนก่อนคนแรก พี่เจนก็เล่าให้ฟังว่า “มันเพิ่งวางสายพี่ไป (เหมือนที่ทุกคนรู้ตามข่าว) มันอะไรเจี๊ยบ มันจะยังไง” เราก็ปลอบ ใจเย็นๆ เรารอฟังข่าว มีอะไรอัพเดทกันตลอดนะ

คืนแรกนอนไม่หลับเลย จริงๆ นะ ฝันถึงมันเลย คือนอนไม่เต็มตา นอนแล้วสะดุ้ง พี่เป็นคนที่ปิดโทรศัพท์เวลานอนทุกครั้ง เพราะเรารู้สึกหวงแหนเวลานอนของเรามาก หลังจากที่พ่อเสีย ไม่เคยเปิดโทรศัพท์ตอนกลางคืนอีกเลย จะเปิดอีกทีตอนเช้า นั่นเป็นครั้งแรกในรอบสิบปี

ตั้งแต่วันที่ต้าร์หายไปจนถึงวันนี้ ไม่เคยปิดโทรศัพท์เลย เป็นครั้งแรกในรอบสิบปีที่เปิดโทรศัพท์ไว้ แล้วก็พอมันมีเสียง SMS หรือเสียงอะไรก็จะสะดุ้งตลอด เวลาพี่เจนโทรมา เราก็ อย่าเพิ่งพูดนะพี่ มีอะไรหรือเปล่า คือเรากลัวจะรับไม่ได้ไง รับไม่ได้จริงๆ 

.

ตอนนี้ก็ผ่านมาวันที่ 4 แล้ว ความรู้สึกตอนนี้เป็นยังไง

ถามว่า ใจหนึ่งอ่ะ ถ้าเรายังไม่เห็นหลักฐาน ไม่เห็นร่าง เราจะไม่อยากรู้สึกว่ามันไปแล้ว แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่มั่นใจ  หรือตัวอย่างที่มีให้เห็นที่ผ่านมา กี่คนๆ ที่ถูกเอาไป ก็ไม่ได้กลับมา มันก็ทำให้เรารู้ว่ามันไม่อยู่แล้ว คือมันหดหู่ เราไม่อยากให้เป็นแบบนี้ ยังอยากให้มันกลับมาอยู่ ยังหวังอยู่ 

ทั้งๆ ที่แบบบางทีก็ไม่รู้จะทำยังไง ก็เครียดแหละ ตอนนี้นอนก็ไม่เต็มตา ยังเบลอๆ อยู่ 

.

แล้วทางครอบครัวเป็นยังไงบ้าง

พี่เจนก็คิดเหมือนกัน รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าปลายทางมันจะเป็นยังไง แต่เราก็ยังหวังอยู่ อาจจะมีปาฏิหาริย์ก็ได้ อาจจะมีพลิกล็อกก็ได้ อะไรที่มันเป็นไปไม่ได้มันอาจจะเป็นไปได้ก็ได้ เราก็ยังรอให้มันเป็นอย่างที่เราคิด

ตอนนี้มีความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ ทั้งคู่เลย ว่าทำไมมันต้องมาเจอกับเหตุการณ์อย่างนี้ เพราะเรารู้สึกว่า ต้าร์มันไม่ได้เป็นคนฮาร์ดคอร์อะไร มีคนอื่นแรงๆ กว่ามันตั้งเยอะแยะ มันก็แค่มีมุมมองทางการเมืองแบบมัน มันเป็นคนมีจุดยืนชัดเจน เป็นคนที่ชัดเจนและมุ่งมั่นกับสิ่งที่ตัวเองทำ

ต้าร์เป็นคนมุ่งมั่นเรียกร้องสิทธิมนุษยชนให้กับคนอื่นมาตลอด ถ้าตอนนี้ ต้าร์รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองว่ามีหลายๆ คนร่วมมือกันเรียกร้องสิทธิมนุษยชนให้กับต้าร์ ทั้งหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ ทั้งเทรนด์ทวิตเตอร์ ทั้งในโซเชียล ทั้งสื่อต่างๆ ถ้าต้าร์เป็นต้นเรื่องให้กระแสขนาดนี้ ต้าร์จะดีใจและต้าร์จะภูมิใจในความเป็นมันมากเลยนะ 

มันจะรู้สึกแบบ เหี้ย กูทำได้ กูทำให้คนอื่นแบบคนที่ไม่รู้เรื่อง คำว่าสิทธิมนุษยชน เด็กวัยรุ่นอะไรต้องหันกลับมามองว่า คำนี้ๆ หมายถึงอะไร มันทำได้อ่ะ มันก็คงจะบอก “อิเจี๊ยบ เป็นยังไง ไอเหี้ยกูแม่งเจ๋งป้ะ มึงดูดิ๊” ตามสไตล์มันอะนะ 

อยากให้มันกลับมารับรู้

.

ตอนที่เขาทำงานเพื่อสังคม เป็นคนทำงานยังไง

มันเป็นคนที่ทุ่มเทกับทุกอย่าง ล้านโปรเจกต์ ไปพบกับกลุ่มไหน เจอกลุ่มไหนเดือดร้อน ต้าร์จะช่วยเต็มที่ ถึงตัวเองช่วยไม่ได้มันก็จะพยายามหามาให้เค้าให้ได้ อย่างสมมติไปทำเรื่องเอดส์ เจอปัญหาใหม่เข้ามา มันก็จะพยายามหาคอนเนคชั่นของมันที่สามารถช่วยเขาได้ เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทุกคนรักเอ็นดูต้าร์กันหมด ทุกคนถึงได้มองข้ามจุดๆ หนึ่งในตัวต้าร์ไป ในเรื่องความเห็นต่าง แล้วก็ยังรักต้าร์เหมือนเดิม 

เอาจริงๆ เราก็โดนเพื่อนหลายคนว่า ตั้งแต่มีเรื่องต้าร์หายไป แล้วก็ในเฟซบุ๊กเราก็จะขึ้นแต่เรื่องต้าร์ เขียนแต่เรื่องต้าร์ ในมุมมองของเพื่อนบางคนก็อันเฟรนด์ไปเลย ไม่ฟังเหตุผลอะไร เราก็ออกตัวไปว่า บนความเป็นเพื่อน เราทิ้งมันไม่ได้ว่ะ เราทิ้งมันไม่ได้จริงๆ เพราะมันไม่เคยทิ้งเราเลยนะ มันไม่เคยทิ้งเลย จะร้องไห้ (สะอื้น) ก็อย่างที่บอก มันไม่เคยทิ้งเราจริงๆ แล้วเรื่องแค่นี้ ทำไมเราต้องทิ้งมัน (ร้องไห้)

.

เจี๊ยบคิดว่าเราจะทำอะไรได้ต่อเพื่อต้าร์ได้บ้าง

ก็ตอนนี้เห็นน้องๆ พี่ๆ ในกลุ่มเยาวชนต่างๆ ที่เคยร่วมงานกับต้าร์ เขาก็กำลังจะรวมตัวกัน แล้วก็ออกหนังสือหรือเคลื่อนไหวต่างๆ เท่าที่สามารถจะทำกันได้ ทุกคนทำเต็มที่มากในความสามารถของตัวเอง ซึ่งเขาก็ไม่ได้ยอมแพ้ แล้วก็ยังให้กำลังใจกันว่า อย่ายอมแพ้นะ สู้ต่อนะ เราต้องหวังว่ามันยังกลับมา ก็ปลอบใจกัน ให้กำลังใจกัน แล้วก็พยายามทำ 

ลองคิดดูดิว่าถ้าคนๆ หนึ่งมันสารเลว หรือแย่ขนาดที่ทุกคนประณาม มันจะมีคนมาช่วยอะไรมันขนาดนี้เหรอ ใช่ไหม อันนี้จริงหรือหลอกให้ดูที่ผลเลย 

.

คิดยังไงกับการที่คนที่ทำงานเพื่อสังคม เป็นที่รักอย่างต้าร์ต้องมาเจอชะตากรรมแบบนี้

ตอนนี้เรายังไม่แน่ใจว่าประเด็นที่มันโดนเอาไปเป็นประเด็นไหน เราก็ไม่กล้าเจาะจง มันก็ตอบได้สองอย่างคือ หนึ่ง คิดไม่ถึงว่ามันจะโดนอะไรอย่างนี้ สอง ถ้าตอบแบบตรงๆ ก็ต้องตอบไปว่า ต้าร์มันก็เลือกทางเดินของมันแล้ว มันก็คงคิดเผื่อไว้แหละว่าอาจจะโดนหรืออาจจะไม่โดน แต่ต้าร์ก็ระวังตัวตลอด 

ถามเรา เราก็ไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้ ก็ทำยังไงได้อ่ะ มันเกิดขึ้นแล้วตอนนี้ ก็แค่แบบ โอเค ให้มันกลับมาอย่างปลอดภัย นั่นก็คือสิ่งที่เรายังหวังว่าให้เกิดขึ้น ก็นับวันรอกันนะ นี่เข้าวันที่เท่าไรแล้ว กี่ชั่วโมงแล้วที่มันไป แต่ละคนที่เขาไปเนี่ยเขาฟันธงกันกี่วัน หาข้อมูลว่าเขากลับมายังไง หรืออะไรบ้าง อะไรอย่างนี้ เราก็ต้องทำใจ 

จริงๆ ยังถามตัวเองอยู่เลยนะ ใจหนึ่งก็บอกว่าต้องทำใจ อีกใจหนึ่งด้วยความที่เราเป็นนักต่อสู้เหมือนกับที่ต้าร์เป็น เราทำงานเครือข่ายมาด้วยกัน เราทำงานเยาวชนมาด้วยกัน เราเป็นนักเคลื่อนไหวมาด้วยกัน อีกใจหนึ่งก็โต้กลับมา มึงทำใจได้เหรอวะเรื่องนี้ ต้องทำใจเหรอ ขนาดนั้นเลยเหรอ มึงจะไม่ทำอะไรหน่อยเลยเหรอ คือมันก็ยังแย้งกันอยู่อย่างนี้ไง (ร้องไห้แล้ว หัวเราะ)

.

ในฐานะที่ต้าร์เป็นเพื่อนเรา อยากให้สังคมรู้จักกับต้าร์ยังไง 

อยากให้สังคมมองต้าร์เป็นคนๆ หนึ่งเหมือนกับเราที่มีความคิดเป็นของตัวเอง แล้วมันก็แสดงออก อาจจะตรงกันหรือไม่ตรงกันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ต้าร์เป็นคนๆ หนึ่งเหมือนกับเรา เหมือนกับคนอื่นที่ไม่สมควรโดนการกระทำอะไรแบบนี้ อย่างอุกอาจ

ในวันที่เราอ่านข่าว คนนั้นหายไป คนนี้หายไป ไม่เจอศพ ลูกเมียเขาหา เจอศพบ้าง ลอยติดแม่น้ำโขงมาบ้าง เราอ่านข่าวแล้วเรายังสะเทือนใจเลยว่า โห ถ้าเราเป็นคนใกล้ชิดหรือเราเป็นคนสนิทเขาเราคงแย่เนอะ จนวันนี้ เรามาเป็นอย่างนั้น เรารู้เลยว่ามันแบบ…หัวใจมันตก มันแตกอ่ะ เออมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ.

 

X